over 2 years ago -

Work-life balance - ปัจจัยสำคัญสำหรับทั้งการดำรงชีวิตและดำรงธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

Image 2022 07 01 T11 54 57

งานคือส่วนสำคัญในชีวิตทุกคน แต่งานก็อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ความสุขในชีวิตเราหายไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน การโหมงานหนัก ๆ อาจนำมาซึ่งความเครียด ปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิต และอาจลามไปถึงปัญหาครอบครัวด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสูญเสียสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวไป เมื่อนั้นเราจะรู้สึกไม่มีความสุขกับทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ที่เรียกกันว่าภาวะ “Burn out” หรือหมดไฟนั่นเอง ซึ่งหากพนักงานในองค์กรจำนวนมากรู้สึกหมดไฟไปพร้อม ๆ กัน ธุรกิจย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ดังนั้น Work-life balance จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกองค์กรไม่ควรมองข้ามและบริษัทกับพนักงานก็ควรร่วมมือกัน เพื่อพัฒนานโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

 

เราอยู่ตรงไหนในดัชนีชี้วัด Work-life balance ของโลก?

​​
รูปปก.png

ก่อนจะมองไปถึงการพัฒนา อันดับแรกเราควรต้องเข้าใจก่อนว่าเราอยู่ตรงไหน สภาพปัญหาร้ายแรงแค่ไหน จากการจัดอันดับข้อมูลโดย Kisi กรุงเทพฯ ติด 5 อันดับเมืองที่มี Work-life balance แย่ที่สุดในโลกของปี 2022 โดยมีคะแนนรวมอยู่ที่ 70.73 ขณะที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์เป็นอันดับหนึ่งของโลก มีคะแนนอยู่ที่ 100 เต็ม นอกจากนี้ยังมี 2 เมืองในสวิตเซอร์แลนด์ที่ติดอันดับท็อป 5 ด้วย

 

คะแนนเหล่านี้คำนวณจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น จำนวนประชากรที่ทำงานเกินชั่วโมงปกติ จำนวนวันหยุดขั้นต่ำ อัตราว่างงาน สภาพ เงินเฟ้อ นโยบาย remote work สวัสดิการสุขภาพ การเข้าถึงสวัสดิการสุขภาพจิต ความช่วยเหลือเกี่ยวกับโควิด 19 รวมถึงสภาพทั่วไปของเมือง และอื่น ๆ

 

Work-life balance แย่ พนักงานแพ้แบบไร้ทางสู้

การที่กรุงเทพฯ รั้งอันดับท้าย ๆ ในตาราง Work-life balance ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนัก เพราะหากเรามองไปรอบตัว คิดว่าคงมีคนไม่น้อย ที่มีครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรู้จัก ทำงานจนตัวเป็นเกลียว ทำงานเกินเวลา ทำงานแบบแทบไม่มีวันหยุด ทำงานจนเวลาพักผ่อนไม่พอ สิ่งเหล่านี้นั่นเองที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญของดัชนีคะแนน Work-life balance ชาวกรุงเทพฯ

ในระยะสั้น การขาด Work-life balance ที่ดี อาจส่งผลให้พนักงานเกิดความเครียด กิน-นอนไม่เป็นเวลา ไม่มีเวลาให้ครอบครัวหรือคนรอบข้าง  แต่ในระยะยาว ผลพวงเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นปัญหาก้อนใหญ่ ทั้งอาการเจ็บป่วย ปัญหาสุขภาพจิต คุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับคนรอบตัว และท้ายสุดจะเกิดเป็นภาวะ Burn-out หมดกะจิตกะใจจะทำงานต่อ หรือ อาจแย่ถึงขั้นเกิดภาวะซึมเศร้าได้เลยทีเดียว

 

ครอบครัวและคนสนิทเป็นด่านหน้าที่อาจต้องรองรับทั้งอารมณ์หรือความเครียดจากพนักงานที่ overwork หรือทำงานหนักเกินไป ดังนั้นปัญหาครอบครัวหรือปัญหาสังคมก็อาจเป็นผลกระทบทางอ้อมที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ในแง่ความสูญเสียเชิงธุรกิจ องค์กรหรือบริษัทผู้ว่าจ้างอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วย โดยวารสาร Harvard Business Review เคยสำรวจข้อมูลของบริษัทในสหรัฐอเมริกาว่า ค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพของพนักงานที่เกิดภาวะ Burn out นั้นสูงถึง 125,000 - 190,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ไม่นับรวมถึงความสูญเสียทางธุรกิจอื่น ๆ ที่อาจตามมาจากอัตราการลาออกที่สูงขึ้น บรรยากาศการทำงานที่ตึงเครียด ตลอดจนการสูญเสียพนักงานที่มีประสิทธิภาพไป

 

แม้ว่าการรับมือกับความเครียด การจัดการเวลา หรือ การทุ่มเทความพยายามในงาน จะเป็นสิ่งที่พนักงานจะต้องคอยควบคุมให้ได้ แต่หากนโยบายหรือโครงสร้างองค์กรมีขีดจำกัดสูง ไม่ยืดหยุ่น ไม่ส่งเสริมให้พนักงานมี Work-life balance ที่ดี พนักงานก็จะไม่มีทางออกและไม่สามารถปรับชีวิตให้คืนความสมดุลได้ ดังนั้น การสนับสนุนจากองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

 

Work-life balance ดี  (องค์กร) มีชัยไปกว่าครึ่ง

หากองค์กรหรือบริษัทผู้ว่าจ้างเล็งเห็นโทษในระยะยาวของการละเลยนโยบาย Work-life balance ว่าจะสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจเพียงใด ก็ควรจะเริ่มสร้างรากฐานนโยบายใหม่ที่ช่วยพนักงานรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน แม้จะต้องลงเงินหรือลงเวลา ก็ยังเป็นสิ่งที่คุ้มค่า

 

สำหรับองค์กรที่ต้องการเริ่มต้น วันนี้แมนพาวเวอร์ได้รวบรวมไอเดียนโยบายที่จะช่วยส่งเสริม Work-life balance ที่ดีมาให้อ่านกัน เพื่อจะช่วยผลักดันและเป็นแรงบันดาลใจให้พนักงานและองค์กรร่วมมือกันสร้างสังคมการทำงานที่มีความสุขและมีประสิทธิภาพ

1. มีความยืดหยุ่นกับนโยบายการลางาน/รูปแบบการทำงาน

ตั้งแต่ยุคโควิด 19 ระบาด แทบทุกองค์กรทั่วโลกต้องปรับมาให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน แต่ตอนนี้ที่สถานการณ์ในหลายภูมิภาคดีขึ้นแล้ว การคงความยืดหยุ่นในนโยบายการ Work from home เป็นเรื่องที่ดี และยังสามารถเพิ่มรูปแบบการทำงานแบบอื่นได้ เช่น remote work หรือ work from anywhere  นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้พนักงานใช้วันหยุดอย่างมีประสิทธิภาพ การลางานตามสิทธิของพนักงานควรมีความยืดหยุ่นและทำได้ง่าย ยกตัวอย่างในเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ที่เป็นอันดับ 3 ของเมืองที่มี Work-life balance ดีที่สุดในโลก ให้สิทธิพนักงานลาพักร้อนได้ถึงปีละ 4 สัปดาห์ บวกกับวันลาเพิ่มอีก 1 สัปดาห์ช่วงฤดูหนาว เพื่อให้พนักงานได้พักผ่อนกับครอบครัว แค่ลองคิดตามว่าได้วันหยุดยาว ๆ แบบนี้ เราจะมีความสุขแค่ไหนและไปชาร์จพลังเพื่อกลับมาลุยงานต่อได้สบาย ๆ

 

2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้ดี

สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในออฟฟิศส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพ การจัดที่นั่ง โซนพักผ่อน สิ่งอำนวยความสะดวก หรือแม้แต่อุปกรณ์สันทนาการต่าง ๆ สามารถช่วยให้พนักงานผ่อนคลาย ได้ขยับเคลื่อนไหว ไม่นั่งจ้องจอตลอดทั้งวัน ลดความเครียดและปัญหาสุขภาพไปในตัว

 

3. ให้ Manager ช่วยกันสอดส่องดูแล

ควรจัดการอบรมระดับผู้จัดการหรือผู้บริหารให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการ burn out และการทำงานเกินเวลาหรือชั่วโมงยาวนานเกินไป เพื่อที่จะได้ช่วยกันดูแล Work-life balance พนักงานได้อย่างทั่วถึง และเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในที่ทำงาน เช่น เปลี่ยนตำแหน่งงาน เปลี่ยนหัวหน้าทีม หรืออื่น ๆ ผู้จัดการหรือผู้บริหารสามารถเข้าไปช่วยในการปรับตัวและช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

 

4. ปรับตารางเวลาให้ยืดหยุ่นได้

ปัจจุบัน การเข้างาน 8-10 ชั่วโมงอาจไม่ได้จำเป็นต้องเคร่งครัดมาก ตราบใดที่พนักงานยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลงานตามเป้าหมาย การปรับตารางเวลาให้ยืดหยุ่น เช่น ชั่วโมงการทำงานสั้นลง พักกลางวันยาวขึ้น หรือ เข้าออฟฟิศเป็นบางวัน จะช่วยให้พนักงานมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น มีเวลาพักเพียงพอ แ