-
มาแล้ว ! สีเสื้อมงคล 2567 สีมงคลประจำวัน เสริมดวง งานรุ่ง รักปัง ฉบับ หมอไก่ พ. พาทินี
12 February 2024 ชาวทำงานเซฟเก็บไว้ด่วน ๆ ! สีเสื้อมงคล 2567 ฉบับ หมอไก่ พ.พาทินีเซฟไว้ได้ไหม..มันสำคัญกับฉันมากนาทีนี้ Personal Color ก็ต้องหลบค่ะ เปิดศักราชใหม่ มันต้องยุคของตารางสีเสื้อมงคล 2567 เท่านั้น!!!! ไอเทมสำคัญที่ต้องเซฟไว้ในรายการโปรด เพราะหลายคนมีความเชื่อว่า หากใส่เสื้อสีตรงกับวันนั้นๆ จะทำให้เราเกิดโชคลาภ มีเสน่ห์ เสริมเมตตา งานก็ดี แถมมีโชคอีกด้วย หลาย ๆ คนจึงมักให้ความสำคัญกับการเลือกใส่สีเสื้อตามประจำวันนั่นเองวันนี้แมนพาวเวอร์ได้นำสีเสื้อมงคลประจำวันเกิดปี 2567 ฉบับ หมอไก่ พ.พาทินี มาฝากกันค่ะ บอกเลยว่าใส่แล้วช่วยเสริมความมั่นใจ งานรุ่ง รักปัง เฮงสุด ๆ !สีเสื้อมงคลวันอาทิตย์โชคดี : สีเขียวต้นไม้การเงิน : สีเทาดำ, สีดำสนิทการงาน : สีชมพูอ่อนผู้ใหญ่รัก : สีบรอนซ์ทอง, สีบรอนซ์เงินเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีแดงทุกโทนสีต้องห้าม : สีน้ำเงินเข้มสีเสื้อมงคลวันจันทร์โชคดี : สีม่วงอ่อน, สีดำสนิท, สีเทาดำการเงิน : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนการงาน : สีเขียวแก่ผู้ใหญ่รัก : สีฟ้ายีนส์เสริมเสน่ห์ เมตตา : สีขาว, สีครีมสีต้องห้าม : สีแดงเลือดนกสีเสื้อมงคลวันอังคารโชคดี : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนการเงิน : สีบรอนซ์ทอง, สีบรอนซ์เงินการงาน : สีม่วงลาเวนเดอร์, สีเทาดำผู้ใหญ่รัก : สีแดงเลือดหมูเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีชมพูกลีบบัวสีต้องห้าม : สีเหลืองสีเสื้อมงคลวันพุธ โชคดี : สีบรอนซ์ทอง, สีบรอนซ์เงินการเงิน : สีฟ้าอ่อน, สีน้ำเงินกรมท่าการงาน : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนผู้ใหญ่รัก : สีขาว, สีครีมเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีเขียวทุกโทนสีต้องห้าม : สีชมพูสีเสื้อมงคลวันพฤหัสบดีโชคดี : สีแดงทุกโทนการเงิน : สีเหลืองสว่าง, สีครีมการงาน : สีฟ้าอ่อนผู้ใหญ่รัก : สีเขียวทุกโทนเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนสีต้องห้าม : สีดำสนิท, สีม่วงเข้มสีเสื้อมงคลวันศุกร์โชคดี : สีชมพูอ่อนการเงิน: สีเขียวพาสเทลการงาน : สีขาว, สีเหลืองสว่างผู้ใหญ่รัก : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีฟ้า, สีน้ำเงินสีต้องห้าม : สีบรอนซ์เงิน, สีน้ำตาลไหม้สีเสื้อมงคลวันเสาร์โชคดี : สีฟ้า, สีน้ำเงินเข้มการเงิน : สีแดงทุกโทนการงาน : สีบรอนซ์เงิน, สีน้ำตาลไหม้ผู้ใหญ่รัก : สีชมพูเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีม่วงพาสเทล, สีดำสนิท, สีเทาดำสีต้องห้าม : สีเขียวเข้มเอาล่ะค่ะ นอกจากจะใส่เสื้อสีมลคลแล้ว ก็ต้องลงมือทำเพื่อช่วยให้สิ่งที่หวังไว้เป็นจริงด้วยนะคะ!ปีใหม่ หางานใหม่กับแมนพาวเวอร์คลิก > https://bit.ly/3tROE6f
-
ธุรกิจควรเริ่มกระบวนการสรรหาบุคลากรอย่างไร ? เพื่อค้นหาพนักงานคุณภาพ!
23 January 2024 กระบวนการสรรหาบุคลากร คือ กระบวนการในค้นหาตลอดจนคัดเลือกบุคลากร โดยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จึงต้องใส่ใจในกระบวนการสรรหาบุคลากร เพื่อให้ได้พนักงานคุณภาพ ซึ่งหมายถึงพนักงานที่สามารถรับผิดชอบงานตามมอบหมายได้เป็นอย่างดี รวมถึงคุณลักษณะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมเชิงบวกในการทำงานในบทความนี้ Manpower จะพามาสำรวจสาเหตุที่ต้องสรรหาบุคลากรและขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการสรรหาบุคลากร เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงพนักงานคุณภาพสาเหตุที่ต้องสรรหาบุคลากรโดยทั่วไป มี 3 สาเหตุหลัก ที่ธุรกิจจะต้องสรรหาบุคลากรใหม่ ได้แก่ 1.ตำแหน่งเดิมว่างลง การที่ตำแหน่งว่างสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ บุคลากรเดิมลาออก ถูกให้ออก เสียชีวิต เกษียณอายุ หรือมีการโยกย้ายตำแหน่งเกิดขึ้น2.เพิ่มตำแหน่งใหม่การเพิ่มตำแหน่งใหม่มักเกิดกับธุรกิจที่กำลังเติบโต และธุรกิจที่กำลังปรับตัวเพื่อตอบสนองกับความต้องการของตลาดอุตสาหกรรม ส่งผลให้ธุรกิจต้องการกำลังคนที่มากขึ้นในหลายแผนก3.ตั้งธุรกิจใหม่แน่นอนว่าการก่อตั้งธุรกิจใหม่ต้องมีการสรรหาพนักงานเข้ามา เพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หากไม่มีการก่อตั้งธุรกิจใหม่ ไม่มีการเพิ่มตำแหน่ง และตำแหน่งเดิมยังมีบุคลากรที่เหมาะสมทำงานอยู่ ธุรกิจไม่จำเป็นที่จะต้องสรรหาบุคลากรใหม่ เพราะจะทำให้ธุรกิจมีกำลังคนมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ธุรกิจต้องเสียต้นทุนกับทรัพยากรบุคคลเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลประกอบการเท่าเดิมกระบวนการคัดสรรบุคลากร 5 ขั้นตอนสำหรับธุรกิจที่จำเป็นต้องหาบุคลากรใหม่หรือเพิ่ม มีขั้นตอนเบื้องต้นในกระบวนการคัดสรรบุคลากร 5 ข้อ ดังนี้1.วางแผนการสรรหาและคัดเลือกเมื่อธุรกิจต้องการสรรหาบุคลากร เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องเริ่มวางแผนจากการสำรวจความต้องการบุคลากร เช่น เจ้าหน้าที่ในแผนก A แจ้งลาออกล่วงหน้าเป็นจำนวน 1 คน ดังนั้นจะต้องหาบุคลากรใหม่มาแทนที่ 1 คน โดยเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องวางกำหนดการอย่างรัดกุมตั้งแต่เริ่มประกาศหาคนทำงานสอบสัมภาษณ์และกำหนดวันเริ่มงาน เพื่อให้หาบุคลากรได้ทันในระยะเวลา 1 เดือน 2.กำหนดคุณลักษณะของงาน (Job Description) และคุณสมบัติของพนักงาน (Qualification)เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องเขียนกำหนดคุณลักษณะของงาน ในประกาศรับสมัครงานให้ถูกต้องและชัดเจน โดยสามารถให้หัวหน้าแผนกนั้น ๆ ช่วยตรวจสอบความถูกต้องได้ นอกจากนี้ ยังต้องกำหนดคุณสมบัติของพนักงานให้ชัดเจนด้วย เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่ง โดยคุณลักษณะของงานและคุณสมบัติของพนักงานมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ยกตัวอย่างคุณสมบัติของพนักงานที่หลายธุรกิจทั่วโลกต้องการ อาทิEmotional Intelligence หรือความฉลาดทางอารมณ์Communication Intelligence หรือความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นProblem Solving Skill หรือความสามารถในการแก้ปัญหา3.สื่อสารเพื่อสรรหา การสื่อสารเพื่อสรรหาบุคลากรสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ประกาศหางานบริษัทจัดหาพนักงานไปจนถึงช่องทาง Social Media ต่าง ๆ อาทิ Facebook, LINE, Instagram หรือ LinkedIn เป็นต้น โดยประกาศรับสมัครงานที่เผยแพร่ออกไปควรมีความชัดเจน ใช้คำที่เข้าใจง่ายและสามารถสร้างแรงจูงใจได้เป็นอย่างดี เช่น การเขียนแสดงวิสัยทัศน์ของบริษัท ซึ่งจะช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายที่ใกล้กับบริษัทได้ 4.การคัดเลือกการคัดเลือกบุคลากรจากผู้เข้าสมัคร เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องยึดคุณสมบัติของพนักงานที่กำหนดเอาไว้ในตอนแรก ซึ่งการประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำแบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบถาม-ตอบ หรือแบบทดสอบทางจิตวิทยาต่าง ๆ โดยการประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครควรให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทด้วย อาทิ หัวหน้างานหรือหัวหน้าแผนก เพราะเป็นบุคลากรที่จะได้ร่วมงานกันโดยตรงในอนาคต5.การเซ็นสัญญาจ้างงานขั้นตอนสุดท้าย คือ การเซ็นสัญญาจ้างงาน โดยจะครอบคลุมตั้งแต่การเจรจารายละเอียดการจ้างงานตั้งแต่อัตราจ้าง รูปแบบการจ่ายเงินเดือนพนักงานสวัสดิการ ไปจนถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ให้ชัดเจน หากผู้สมัครพอใจในข้อเสนอของธุรกิจ ก็สามารถดำเนินการเซ็นสัญญาและเริ่มร่วมงานกันได้ทันทีหรือในวันเวลาที่ตกลงกันไว้โดยธุรกิจสามารถระบุข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาทดลองงานได้ในสัญญาจ้าง เช่น ผู้ถูกว่าจ้างจะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นพนักงานประจำเมื่อผ่านการประเมินหลังครบระยะเวลาทดลองงาน 3 เดือน เป็นต้นอย่างไรก็ตาม กระบวนการสรรหาบุคลากรนับเป็นเรื่องท้าทายของธุรกิจใหม่ที่เพิ่งก่อตั้ง โดยเฉพาะธุรกิจที่ยังไม่มีการว่าจ้างเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจจะต้องดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการสรรหาบุคลากรด้วยตนเอง ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้และความเข้าใจในตลาดแรงงาน การเขียนประกาศรับสมัครพนักงานให้น่าสนใจ สวัสดิการของลูกจ้างตามกฎหมาย ไปจนถึงการร่างสัญญาจ้างให้ครอบคลุมทั้งสิทธิของนายจ้างและลูกจ้างอย่างถูกต้อง ในขณะที่บริษัทจัดหาพนักงานสามารถช่วยเจ้าของธุรกิจประหยัดเวลาและต้นทุนในการสรรหาบุคลากรได้มากกว่าแนะนำบริการหาคนทำงานจาก Manpowerบริการจัดหาพนักงานชั้นนำระดับโลก ตอบโจทย์การให้บริการสรรหาบุคลากรอย่างครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันติดต่อเราLINE OA: @manpowergroup_thCall Center: 02-171-2345E-mail:[email protected]
-
รู้ก่อนได้เปรียบ! บอกวิธีเช็คเงินคืนภาษีแบบสะดวกสุด ๆ ขอคืนภาษีต้องทำอย่างไรบ้าง?
23 January 2024 อย่างที่ทราบกันว่าการเช็คหรือตรวจสอบคืนภาษี เพื่อขอคืนภาษี นั้นเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับการยื่นภาษีต้องทำกันในทุกๆ ปี โดยการยื่นภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ (120,000 บาทต่อปี) เพื่อเสียภาษีตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร แต่นอกจากการเสียภาษีแล้ว ผู้เสียภาษียังสามารถ ‘ขอคืนภาษี’ ได้ด้วยเช่นกัน โดยในบทความนี้ Manpower จะพาไปทำความรู้จักกับการยื่นขอภาษีและวิธีเช็คเงินคืนภาษีที่สะดวกและเข้าใจง่ายการขอคืนภาษี คืออะไร ?การยื่นขอคืนภาษี คือ การที่ผู้เสียภาษียื่นขอเงินภาษีคืนจากกรมสรรพากร โดยผู้ที่สามารถยื่นขอคืนภาษีได้จะต้องเป็นผู้ที่เสียภาษี ณ ที่จ่ายระหว่างปีมากกว่ามูลค่าภาษีที่ตนเองมีหน้าที่ต้องจ่ายจริง ซึ่งสรรพากรจะเป็นผู้พิจารณาคืนภาษีตามเงื่อนไขและคืนเงินส่วนต่างระหว่างมูลค่าภาษีที่ต้องจ่ายจริงกับภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมีวิธีการเช็กเงินคืนภาษีและตรวจสอบการคืนภาษีตามขั้นตอนด้านล่างนี้ได้เลยค่ะวิธีการเช็คเงินคืนภาษี 2566วิธีเช็คเงินคืนภาษีที่ง่ายและสะดวกที่สุด คือ การเช็กกับเว็บไซต์ของสรรพากร ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้เข้าไปที่เว็บไซต์ www.rd.go.thกดเลือกหน้า My Tax Account ตรวจสอบข้อมูลภาษีล็อกอินด้วยเลขประจำตัวประชาชนและรหัสผ่านยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTPกดตรวจสอบข้อมูลในช่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (90/91)ในหน้าตรวจสอบข้อมูลจะแสดงข้อมูลรายได้ทั้งหมดตลอดปี พร้อมจำนวนเงินภาษี ณ ที่จ่ายที่ชำระไป ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถนำยอดรวมของภาษี ณ ที่จ่ายมาคำนวณภาษีเพื่อเช็กมูลค่าเงินคืนจากสรรพากรได้ โดยวิธีการ คือ ยอดรวมภาษี ณ ที่จ่าย-ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = มูลค่าเงินคืนยกตัวอย่างเช่น นาย A มียอดรวมภาษี ณ ที่จ่ายที่ชำระไปตลอดทั้งปี 2566 มูลค่า 12,000 บาท แต่มูลค่าภาษีเงินได้บุคคลของนาย A อยู่ที่ 8,000 บาท ดังนั้นนาย A จะสามารถขอคืนภาษีจากกรมสรรพากรได้ 4,000 บาทโดยการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถคำนวณได้จาก เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = ภาษีเงินได้บุคคล ซึ่งเงินได้สุทธิ = เงินได้ทั้งหมด – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อนเคล็ดไม่ลับยื่นขอคืนภาษีให้ได้เงินคืนเร็วขึ้นในหน้าสุดท้ายของแบบฟอร์มยื่นภาษีรายได้บุคคลบนเว็บไซต์ของสรรพากรจะมีช่อง ‘ขอเงินคืน’ หากต้องการยื่นขอคืนภาษีก็สามารถเลือก ‘ต้องการขอคืน’ ได้เลย โดยสรรพากรจะใช้เวลาดำเนินการคืนภาษีภายใน 3 เดือน ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ได้เงินคืนเร็ว คือ การยื่นเอกสารให้ครบถ้วน ถูกต้องและชัดเจน เพราะจะทำให้ขั้นตอนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่สะดวกและรวดเร็วขึ้นโดยผู้เสียภาษีสามารถเข้าไปตรวจสอบและเช็คสถานะเงินคืนภาษีได้ในเว็บไซต์ของสรรพากร ซึ่งจะแสดงสถานะตั้งแต่ ยื่นภาษี > นำเข้าข้อมูล > พิจารณาคืนภาษี > ส่งคืนภาษี > ได้รับคืนภาษีอย่างไรก็ตาม หากกรมสรรพากรล่าช้าเกิน 3 เดือน ผู้เสียภาษีมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยต่อเดือน 1% ของมูลค่าเงินคืน โดยจะเริ่มคำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป (เดือนสุดท้ายของการยื่นภาษี)เช็คเงินคืนภาษีแล้ว สามารถขอคืนภาษีได้ช่องทางไหนโดยช่องทางการคืนเงินภาษีมีดังนี้1.บัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัตรประชาชนกรมสรรพากรจะดำเนินการโอนเงินคืนผ่านบัญชีธนาคารที่มีการลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัตรประชาชนเอาไว้ ในกรณีที่ผู้เสียภาษีได้แจ้งความประสงค์รับเงินคืนผ่านบัญชีธนาคารดังกล่าว2.การคืนเงินผ่านสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หากไม่ประสงค์รับเงินคืนผ่านบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัตรประชาชนเอาไว้ กรมสรรพากรจะออกหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ค.21) เป็นหลักฐานเพื่อนำไปติดต่อรับเงินคืนที่สาขาธนาคารธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร3.รับเงินคืนผ่านบัตรเงินสด e-moneyหากผู้มีสิทธิรับเงินภาษีคืนเสียชีวิตระหว่างปี ผู้จัดการมรดกสามารถมาขอรับเงินคืนได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทยในรูปแบบบัตรเงินสด e-money โดยผู้จัดการมรดกจะต้องแสดงคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้องและบัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง4.รับเงินคืนผ่านเช็คเงินสดในกรณีที่ผู้ขอคืนภาษีเป็นชาวต่างชาติ ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคล วิสาหกิจชุมชน และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง กรมสรรพากรจะจัดส่งหนังสือ ค.21 พร้อมเช็คเงินสดให้ผ่านทางไปรษณีย์ เพื่อนำไปเข้าบัญชีเงินฝากที่สาขาธนาคารเท่านั้นโดยช่องทางการรับเงินภาษีคืนที่เร็วที่สุด คือ บัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัญชีธนาคารเอาไว้ สำหรับผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถเข้าไปยื่นภาษีประจำปี 2566 ได้แล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายนแนะนำบริการรับทำเงินเดือนจาก Manpowerบริการรับทำเงินเดือนจาก Manpower ผู้นำในธุรกิจการจ้างงานระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรของคุณให้ทันยุคสมัย โดยบริการรับทำเงินเดือนของ Manpower มี 2 แบบ คือ1.Payroll Serviceบริการรับทำเงินเดือนแบบครบวงจรที่ Manpower เป็นผู้จ่ายเงินให้กับลูกจ้างในฐานะนายจ้างแทนองค์กร2.Payroll Outsourcingบริการคำนวณเงินเดือนที่องค์กรจะเป็นผู้จ่ายเงินให้ลูกจ้างเองในฐานะนายจ้างโดยบริการรับทำเงินเดือนของ Manpower จะครอบคลุมกระบวนการต่างๆ ในการจ่ายเงินเดือนพนักงานตั้งแต่การคำนวณเงินเดือน ค่า OT คำนวณภาษี ไปจนถึงการจัดทำรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ประจำปี และแบบแสดงรายการภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด. 1 ก) ช่วยอำนวยความสะดวกให้องค์กรในฐานะนายจ้างและครอบคลุมสิทธิทางกฎหมายของลูกจ้าง
-
มาตรการใหม่จากรัฐบาล Easy E-receipt 2567 คืออะไร? ต้องซื้ออะไร ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง?
17 January 2024 มาตรการใหม่จากรัฐบาล Easy E-receipt2567 คืออะไร? ต้องซื้ออะไร ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ใครที่กำลังมองหาโครงการช้อปดีมีคืน 2567 เพื่อนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษี ในปีนี้รัฐบาลได้จัดตั้งโครงการใหม่เข้ามาแทน นั่นก็คือ “Easy E-receipt” เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีให้สูงสุดถึง 50,000 บาท! โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร โครงการ Easy E-receipt 2567 นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการบริโภคในประเทศและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีและการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีในระยะยาว คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาทEasy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน ต่างกันไหม? มาตรการ Easy E-Receipt มีความคล้ายคลึงกับ โครงการช้อปดีมีคืน (E-Refund) มาก ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สนับสนุนการบริโภคในประเทศและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี โดยข้อแตกต่างระหว่าง Easy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน มีอยู่ 2 ข้อหลัก ๆ เลยคือ 1. รูปแบบใบกำกับภาษีที่ใช้เป็นหลักฐาน จะต้องเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Receipt) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) เท่านั้น 2. Easy E-Receipt มีระยะเวลาการใช้จ่ายอยู่ในช่วง 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อใช้ยื่นและขอคืนภาษีต้นปี 2568 3. จากเดิม ช้อปดีมีคืน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท โดย 30,000 แรกจะต้องมีใบกำกับภาษีกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ ส่วน 10,000 ที่เหลือจะต้องเป็นใบกำกับรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่สำหรับมาตรการ Easy E-Receipt สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท Easy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน ต่างกันไหม?มาตรการ Easy E-Receipt มีความคล้ายคลึงกับ โครงการช้อปดีมีคืน (E-Refund) มาก ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สนับสนุนการบริโภคในประเทศและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี โดยข้อแตกต่างระหว่าง Easy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน มีอยู่ 2 ข้อหลัก ๆ เลยคือ1. รูปแบบใบกำกับภาษีที่ใช้เป็นหลักฐาน จะต้องเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Receipt) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) เท่านั้น2. Easy E-Receipt มีระยะเวลาการใช้จ่ายอยู่ในช่วง 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อใช้ยื่นและขอคืนภาษีต้นปี 25683. จากเดิม ช้อปดีมีคืน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท โดย 30,000 แรกจะต้องมีใบกำกับภาษีกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ ส่วน 10,000 ที่เหลือจะต้องเป็นใบกำกับรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่สำหรับมาตรการ Easy E-Receipt สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท เราสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประการที่สามารถออก E-Tax Invoice & e-Receipt ได้จากที่ไหน?ปัจจุบัน (ณ วันที่ 21ธันวาคม 2566) มีผู้ประกอบการที่สามารถออก e-Tax Invoice & e-Receipt ได้จำนวน 2,499 ราย ทุกท่านสามารถเช็คว่าร้านค้านั้นสามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice & E-Receipt) ได้หรือไม่ ผ่านเว็บไวต์ https://etax.rd.go.th/ ไป ที่เมนู “ผู้มีสิทธิจัดทำ”ช้อปลดหย่อนภาษี ต้องซื้ออะไร ถึงใช้สิทธิ EASY E-Receipt ได้?สินค้าและบริการที่เข้าร่วมสินค้าและบริการทั่วไป เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือของใช้อื่นๆในชีวิตประจำวันที่ได้ซื้อจากร้านค้า, ห้างสรรพสินค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ออกใบกำกับภาษีเต็มรูป ในรูปแบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ของกรมสรรพากรเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าที่มีสาขาทั่วไป หากเป็นร้านค้าอื่น ๆ ให้มองหาสัญลักษณ์ Easy E-Receipt ที่หน้าร้านค้า ค่าหนังสือ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, E-Book และสินค้า OTOP (เฉพาะที่ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว)ทองคำรูปพรรณ นำมาหักลดหย่อนได้เฉพาะค่ากำเหน็จเท่านั้น เพราะทองคำไม่ต้องเสียภาษีซ่อมรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เข้าศูนย์ เปลี่ยนยางรถยนต์ หรืออุปกรณ์แต่งรถค่าที่พักโรงแรม และค่าอาหารโรงแรม ที่ได้เข้าพักหรือใช้บริการตามระยะเวลาของโครงการ Easy E-Receipt สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่ได้ค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เบียร์ ไวน์ และยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตค่าบริการสำหรับบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว ซึ่งเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 หรือสิ้นสุดหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 แม้ว่าจะจ่ายค่าบริการระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ก็ตาม ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดค่ารักษาพยาบาล หรือค่าทำศัลยกรรมค่าอาหารสัตว์ทุกประเภทสรุปให้เข้าใจง่ายก็คือ มาตรการ Easy E-Receipt มีความคล้ายคลึงกับ ช้อปดีมีคืน แต่มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันบางประการ คือ รายการที่ไม่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีที่เพิ่มขึ้น, ปรับวงเงินเพิ่ม สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท และที่สำคัญ รูปแบบใบกำกับภาษีที่ใช้เป็นหลักฐาน จะต้องเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Receipt) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) เท่านั้น รู้แบบนี้แล้วอย่าลืมรีบวางแผนซื้อสินค้า และบริการให้ดี เพื่อนำไปใช้ยื่นใช้สิทธิลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาท (ยื่นต้นปี 2568) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 15 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้น นะคะ!!! แหล่งข้อมูลอ้างอิง: กรมประชาสัมพันธ์, กรมสรรพากร, iTAX
-
8 เทรนด์การทำงานที่น่าจับตามองในปี 2024
12 January 2024 โลกแห่งการทำงานเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แนวคิด หรือวิถีการทำงานแบบเดิม ๆ เช่น เข้างาน 9 โมง ออก 5 โมงเย็น หรือการทำงานแบบอุทิศชีวิตอะไรแบบนั้นกำลังจะหายไปเทคโนโลยี คือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น จำนวนประชากรสูงวัยในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการปฏิบัติงานก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ในปี 2024 เราคาดว่าจะเห็นการพัฒนาเพิ่มเติมของเทรนด์การทำงานมากมายที่เปลี่ยนชีวิตการทำงานของเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ (โดยเฉพาะ AI) จะถูกรับรู้มากขึ้นกว่าที่เคย เมื่ออัตราการนำไปใช้เพิ่มมากขึ้น คลื่นแห่งการแปลงเป็นดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน แม้แต่ผู้ที่อยู่นอกอุตสาหกรรมไอที Forbes ได้ทำการจัด 8 เทรนด์การทำงานที่น่าจับตามองในปี 2024 นี้ เราไปดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง!Generative AI ปัจจุบันมีแนวความคิดที่ได้รับความนิยมว่า AI จะไม่เข้ามาแทนที่งาน แต่คนที่สามารถใช้ AI จะเข้ามาแทนที่คนที่ไม่สามารถทำได้ เครื่องมือ Generative AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เสนอโซลูชันที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในงานหรือสายงานใดก็ได้ แต่จำไว้ว่า ส่วนสำคัญของการเป็นผู้ปฏิบัติงานเสริมด้วย AI ที่เชี่ยวชาญคือการเข้าใจข้อจำกัดของมัน และการรู้ว่าจุดไหนที่คุณยังต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความเห็นอกเห็นใจ และนวัตกรรมของมนุษย์!Sustainability working ครองโลก (Sustainable Working Practices) การทำงาน และดำเนินธุรกิจที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่เราต้องทำการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราอย่างมีสติ ตั้งแต่ที่เราทำงานไปจนถึงวิธีที่เราสร้างและดำเนินการกระบวนการแบบวงกลมที่ลดการสิ้นเปลืองและส่งเสริมการรีไซเคิลและการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) ในขณะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพื้นที่การทำงานและธุรกิจมากขึ้น การรับรองว่าเราพร้อมที่จะใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับเราทุกคน นับตั้งแต่การเข้าใจถึงความสำคัญของการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไปจนถึงการพัฒนาความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และการเอาใจใส่ เพื่อตอบโต้การขาดเทคโนโลยี และนำการ เปลี่ยนแปลงความคิดที่จำเป็นในการทำงานหรือเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อทีมของคุณกระจายไปทั่วโลก บางทีอาจไม่มีใครสามารถคาดหวังที่จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้ แต่ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับบทบาทและความรับผิดชอบของคุณคือกุญแจสำคัญประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience) องค์กรต่าง ๆ เข้าใจว่าในปัจจุบัน ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ตลอดชีวิตและสร้างธุรกิจที่เกิดซ้ำ ในทำนองเดียวกัน พวกเขาเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการรับรองว่าคนงานได้รับความพึงพอใจโดยรวม ไม่ใช่แค่เพียงได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอ สิ่งนี้ต้องใช้ความสมดุลระหว่างงาน/ชีวิต สุขภาพ ความท้าทายทางสติปัญญา และการเติบโตและการพัฒนาส่วนบุคคล ในปี 2024 หากนายจ้างของคุณไม่เริ่มต้นที่นี่ การหานายจ้างที่ทำแบบนั้นก็อาจกลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลประชากรในที่ทำงาน (Changing Workplace Demographics) ในขณะที่ GEN X กำลังทยอยกลายเป็นวัยอาวุโส และเกษียนจากการทำงาน ดังนั้นวัฒนธรรมเก่า ๆ หรือลำดับขั้นต่าง ๆ ในองค์กรจะถูกแนวคิดของคนรุ่นใหม่อย่าง GEN Y และ GEN Z เข้ามาแทนที่ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญกับความหลากหลาย มากกว่าเรื่องของอายุ เชื้อชาติ หรือแม้กระทั่งใบปริญญา ยุคแห่งการทำงานระบบดิจิทัล (Digitization and Datafication of Work) ในปี 2024 ข้อมูลส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงานของเราในทุกด้าน ตั้งแต่ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานไปจนถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ที่มีทักษะในการทำข้อมูล Excel ต่าง ๆ มักได้เปรียบเสมอชีวิตต้องไม่หยุดเรียนรู้ (Lifelong Learning) มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ของพนักงานให้มีความพร้อม และอัพเดตข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอการทำงานแบบกระจายศูนย์ (The Decentralized Workplace) ผลพวงจากโควิดทำให้การทำงานระยะไกล (Work from home) หรือ Hybrid working มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปี 2024 หลายองค์กรก็มีแนวโน้มที่จะหันมาใช้ระบบการทำงานแบบผสมผสานนี้กันมากยิ่งขึ้น นอกจากจะประหยัดต้นทุนองค์กรแล้ว ยังสามารถรักษาสุขภาพจิต และความพึงพอใจของพนักงานที่มีต่อองค์กรได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามโลกแห่งการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องคืกรและพนักงานจึงจำเป็นต้องตามให้ทัน ปรับตัว และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
-
ผลสำรวจ "แนวโน้มการจ้างงาน" ไตรมาสที่ 1/2567
4 January 2024 สำหรับปี 2567 ตลาดแรงงานทั่วโลกยังคงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการจ้างงานยังคงดำเนินต่อไปในระดับปานกลางหลังการแพร่ระบาดโควิด 19 ในขณะที่ภาวะการขาดแคลนคนทำงาน (Talent Shortage) ยังคงมีอยู่ผลสำรวจ "อัตราแนวโน้มการจ้างงาน" ฉบับแรกของปี 2567 (ไตรมาสที่ 1) จาก ManpowerGroup พบว่าแนวโน้มการจ้างงานสุทธิดีขึ้นใน 27 ประเทศ ลดลงใน 12 ประเทศ และยังคงไม่เปลี่ยนแปลงใน 2 ประเทศ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วประเด็นสำคัญในรายงานฉบับนี้แม้ว่าอัตราการจ้างงานทั่วโลกจะอ่อนตัวลง -4% นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 แต่ก็เพิ่มขึ้น +3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2566การจ้างงานที่แข็งแกร่งที่สุดคาดว่าจะอยู่ในอเมริกาเหนือ (34%) ตามมาด้วยเอเชียแปซิฟิก (30%) อเมริกากลางและใต้ (28%) และยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (23%)แผนการจ้างงานที่แข็งแกร่งที่สุดเรียงตามลำดับ ได้แก่ อินเดีย (37%) เนเธอร์แลนด์ (37%) และคอสตาริกา (35%) และสหรัฐอเมริกา (35%) ในขณะที่แนวโน้มที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในฮังการี (10%) , ญี่ปุ่น (10%), สาธารณรัฐเช็ก (8%) และอาร์เจนตินา (2%)ฮังการี (+20%) โปแลนด์ (+18%) และเนเธอร์แลนด์ (+17%) มีแนวโน้มการจ้างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่อาร์เจนตินา (-10%) เปรู (-10 %) อิสราเอล (-11%) และปานามา (-18%) มีการลดลงสูงสุดอุตสาหกรรมไอที มีแนวโน้มการจ้างงานทั่วโลกที่ดีที่สุด อยู่ที่ 36% ตามมาด้วย อุตสาหกรรมการเงินและอสังหาริมทรัพย์ 34% บริการการสื่อสาร 31% การดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และอุตสาหกรรมและวัสดุทั้งคู่ 28%-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------สำหรับรายงานผลสำรวจแนวโน้มการจ้างงานของ ManpowerGroup ในไตรมาสแรกปี 2567 รวมถึงข้อมูลภูมิภาคและประเทศฉบับเต็ม กรุณากรอกข้อมูลด้านล่าง แบบสำรวจครั้งต่อไปจะเปิดตัวในเดือนมีนาคม และจะรายงานความคาดหวังการจ้างงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2567Please fill in the information to download the full report
-
แนะ 6 วิธีเขียนประกาศรับสมัครงาน และเทคนิคการเขียนประกาศรับสมัครงานให้ได้ผล
28 December 2023 ในการหาบุคลากรหรือหาคนทำงานที่มีคุณสมบัติตรงตามที่องค์กรต้องการ แน่นอนว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จำเป็นต้องคัดเลือกผู้สมัครอย่างเคร่งครัด แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนดังกล่าว ต้องมีการลงประกาศรับสมัครงาน ซึ่งอาจมีหลายครั้งที่ประกาศรับสมัครไปแล้ว แต่ไม่มีคนสนใจส่งเรซูเม่เข้ามา หรือมีการยื่นสมัครงาน แต่ก็ไม่ตรงคุณสมบัติตามที่ได้ประกาศไว้ เนื่องจากการเขียนประกาศรับสมัครงานที่ไม่ชัดเจน ดังนั้น แมนพาวเวอร์ จะมาแนะนำวิธีเขียนประกาศรับสมัครงานให้มีประสิทธิภาพ ดึงดูดคนหางานผู้มีคุณสมบัติที่ใช่ ตรงกับความต้องการขององค์กรที่สุด 6 ทริคการเขียนประกาศรับสมัครงานให้มีประสิทธิภาพ 1. ชื่อ “ตำแหน่งงาน” ต้องชัดเจน สิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะขาดไปไม่ได้ในประกาศรับสมัครงาน คือ ตำแหน่งงาน ซึ่งถือเป็น Keyword สำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้สมัครงาน อย่างไรก็ตาม แต่ละองค์กรอาจมีชื่อตำแหน่งงานที่แตกต่างกันไป โดยทางที่ดี คือ ควรเขียนชื่อตำแหน่งงานให้กระชับ เข้าใจว่าต้องทำงานอะไร ซึ่งอาจเป็นชื่อภาษาไทยและกำกับด้วยชื่อภาษาอังกฤษในวงเล็บ เช่น ผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดีย (Social Media Officer) เป็นต้น ก็จะช่วยให้ผู้สมัครทำความเข้าใจง่ายขึ้น 2. รายละเอียด “หน้าที่และความรับผิดชอบ” ต้องครอบคลุม รายละเอียดอันดับต่อมาที่ HR ควรให้ความสำคัญคือ หน้าที่และความรับผิดชอบ (Job Description) โดยหลัก ๆ จะประกอบไปด้วย 3 หัวข้อ ได้แก่ วัตถุประสงค์ หน้าที่ที่ต้องทำ เป้าหมายที่คาดหวัง หน้าที่ของตำแหน่งงานอาจมากน้อยแตกต่างกันไป โดยองค์กรขนาดเล็ก ที่มีพนักงานไม่เยอะมากอาจมอบหมายหน้าที่ที่มากกว่า ซึ่ง HR ควรเขียนจำกัดความให้เข้าใจง่าย สั้น และกระชับมากที่สุด โดยแนะนำให้ควรมีรายละเอียดไม่เกิน 15-20 ข้อ หลีกเลี่ยงไม่เขียนเกินความจำเป็น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัครงาน 3. ระบุ “คุณสมบัติ ทักษะ และความสามารถ” ที่องค์กรต้องการ หากองค์กรต้องการบุคลากรที่มีคุณสมบัติเฉพาะเจาะจงสำหรับตำแหน่งงานใดงานหนึ่ง ก็ควรระบุเอาไว้ให้ชัดเจนขณะประกาศรับสมัครงานตำแหน่งนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลคุณสมบัติทั่วไป อาทิ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ระดับการวัดผลต่าง ๆ เช่น IELTS, TOEIC ไปจนถึงทักษะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้องานโดยตรงอย่าง สามารถขับขี่รถยนต์และมีใบขับขี่ หรือทักษะ Soft Skill อื่น ๆ นอกจากนี้ เมื่อเขียนประกาศรับสมัครงาน ควรเจาะจงรายละเอียด อาทิ สามารถใช้โปรแกรม AutoCAD ในการออกแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ ได้เป็นอย่างดี เท่านี้ HR และองค์กรก็จะได้พบกับผู้สมัครที่มีคุณสมบัติที่ตรงกับเนื้องานของตำแหน่งนั้นๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะการระบุทักษะอย่างละเอียดนั้นถือเป็นการคัดกรองผู้สมัครเบื้องต้น ทำให้สามารถ Short list รายชื่อผู้สมัครได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม 4. “เงินเดือน” สิ่งสำคัญที่ผู้สมัครทุกคนอยากทราบ หนึ่งในวิธีลงประกาศรับสมัครงานให้สามารถดึงดูดคนที่ใช่นั้นต้องระบุจำนวนเงินเดือนเอาไว้ด้วยเสมอ เพราะการไม่บอกเงินเดือน อาจทำให้ประกาศรับสมัครงานถูกปัดตกโดยผู้สมัครได้ง่าย ๆ ซึ่ง HR ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนเงินที่แน่นอนลงไปในใบประกาศ เนื่องจากอัตราจ้างของแต่ละแห่งไม่เท่ากัน อาจขึ้นอยู่กับงบประมาณของบริษัทในไตรมาสนั้น ๆ แต่แนะนำให้เขียนแจ้งระบุเป็นช่วงเงิน เช่น 20,000 - 40,000 บาทต่อเดือน นอกจากจะเป็นข้อพิจารณาของผู้สมัครแล้ว ตัวเลขเงินเดือนยังทำให้มีโอกาสในการแข่งขันกับบริษัทอื่น ๆ ในตลาดแรงงาน เพื่อดึงดูดผู้ที่มีทักษะเข้าสู่องค์กรเราได้มากกว่านั่นเอง 5. “สวัสดิการ” อาวุธสำคัญช่วยเอาชนะองค์กรคู่แข่ง ในการเขียนประกาศรับสมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์หางาน โซเชียลมีเดีย หรือตามแพลตฟอร์มอื่น ๆ เรื่องของสวัสดิการถือเป็นเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้ เนื่องจาก ตลาดแรงงานในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงขึ้นมาก ประกอบกับเทรนด์คนทำงาน Gen Z ที่มองหาสวัสดิการหรือเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสม ก่อนตัดสินใจสมัครทำงาน ซึ่งในอนาคตกลุ่มคน Gen Z จะเป็นแรงงานสำคัญอย่างแน่นอน พอทราบอย่างนี้แล้ว ก่อนที่จะเขียนประกาศรับสมัครงานครั้งต่อไป ควรคำนึงเอาไว้ว่าบริษัทเรามีสวัสดิการอะไรที่เหนือกว่าคู่แข่งบ้าง เช่น โบนัสประจำปี การปรับขึ้นเงินเดือน วันหรือเวลาที่พนักงานสามารถ Work From Home ได้ ส่วนสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิประกันสังคม วันลา-หยุดตามกฎหมายก็ต้องไม่ขาด และอาจมีการนำเสนอสวัสดิการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตขององค์กร ซึ่งนอกจากจะดึงดูดคนเก่งเข้ามาแล้ว ยังทำให้บุคลากรปัจจุบันอยากอยู่กับองค์กรต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย 6. บอก “ข้อมูลบริษัท” ให้ผู้สมัครรู้จักมากขึ้น การระบุข้อมูลบริษัทลงไปในประกาศรับสมัครงาน หรือในโปรไฟล์บนแพลตฟอร์มหางานต่าง ๆ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็กหรือบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ควรมีการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา ธุรกิจที่ทำ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นำเสนอ ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้องค์กรเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงสร้างความประทับใจให้แก่ผู้สมัครงานด้วย การเขียนประกาศรับสมัครงานนั้นมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายจุดที่ต้องใส่ใจ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อค้นหาคนทำงานที่ใช่ มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ต้องกังวลหรือทุ่มเวลาไปกับขั้นตอนการคัดเลือกให้มากเกินจำเป็น หากธุรกิจหรือองค์กรต้องการเฟ้นหาบุคลากรคุณภาพ ManpowerGroup Thailand พร้อมมอบบริการที่ตอบโจทย์และตอบสนองกับการพัฒนาธุรกิจคุณ Manpower เก่งหาคน ถนัดหางาน “We Love our Jobs” บริการจัดหาพนักงานชั้นนำระดับโลก ตอบโจทย์การให้บริการอย่างครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกัน ติดต่อเรา LINE OA: @manpowergroup_th Call Center: 02-171-2345 E-mail: [email protected]
-
เช็คดวงการงานปี 2567 12 ราศี จาก 3 หมอดูชื่อดัง!!!
14 December 2023 มาแล้วค่าาาา มูนี้ที่รอคอย เตรียมพร้อมรับปีมะโรง หรือปีมังกร แมนพาวเวอร์พามาเช็คดวงชะตาด้านการงานของทั้ง 12 ราศี ในปี 2567 จาก 3 หมอดัง (หมอช้าง, หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม และหมอแทมมี่ เมจิก ทาโร่ต์) การงานของใครจะปัง จะเริ่ช ได้ขึ้นบัลลังก์ หรือมีสิ่งใดที่ต้องระวัง ไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะราศีเมษ (14 เมษายน - 14 พฤษภาคม)ปี 2567 นั้น มีการเปลี่ยนแปลงในช่วง 4 เดือนแรกของปี ดวงโดดเด่นติดท็อป 3 ราศีที่ดวงดีที่สุด มีโอกาสได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นราศีที่ได้รับอิทธิพลจากดาวพฤหัสบดี โดยในทางโหราศาสตร์ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวที่ดี ในปี 2566 ได้รับอิทธิพลจากพระราหู บางคนเจ็บป่วยไม่สบาย บางคนรักไม่ลงตัว โดนเปลี่ยนงานย้ายงาน แต่พระราหูออกจากดวงชาวราศีเมษไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม ผู้หลักผู้ใหญ่จะสนับสนุน ชี้ช่องทางโอกาสที่ดีให้ หากต้องการจะเริ่มโปรเจคอะไรในบริษัท หรือเกี่ยวเนื่องกับอาชีพของคุณ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก ดังนั้น แม้ว่าคุณจะเหนื่อยกับงานหนักมากขึ้นเป็น 10 เท่า แต่รับรองว่าความสำเร็จที่ได้รับจะมากกว่านั้นเป็น 10 เท่า ราศีพฤษภ (15 พฤษภาคม - 14 มิถุนายน)ปี 2567 เป็นปีที่ดี แบบที่ 12 ปีมีครั้งเดียว ชีวิตเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี หลังจากเดือน เม.ย มีเกณฑ์การเปลี่ยนงานสูงมาก ใครที่สนใจเรื่องการเรียนต่อ จะได้เรียนต่อ ได้ทุนศึกษา หรือสำเร็จการศึกษาอย่างที่ตั้งใจ ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้นส่งผลดีต่อความก้าวหน้า มีเกณฑ์ได้รับผิดชอบงานใหม่ เป็นงานที่มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม ทำให้รู้สึกท้าทาย มีโอกาสประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย หรือการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลดีกับตัวคุณในอนาคตอีกด้วย ราศีเมถุน (15 มิถุนายน - 16 กรกฎาคม)ปี 2567 ปีแห่งการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อะไรที่ทำในปีนี้ (2566) แนะนำให้ดำเนินต่อในปี 2567 ด้วย แล้วจะมีความสำเร็จที่ดีเข้ามาค่ะ ปี 67 จะมีการเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ส่งผลเรื่องการงาน มีเกณฑ์เปลี่ยนงานสูง อยากเปลี่ยนงานให้เริ่มได้เลย หากคนที่ยังไม่ได้อยากเปลี่ยนงาน ให้ระวังช่วงเดือน มีนาคม - เมษายน จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับการทำงาน (แนะนำลองจัดโต๊ะแก้เคล็ด ถ้ามีกิจการจะค้าขายดีมีกำไร แต่จะต้องหมุนเงินเยอะมาก ควรมีคนช่วยดูแลเรื่องบัญชีอย่างละเอียดค่ะ) ราศีกรกฎ (17 กรกฎาคม - 16 สิงหาคม)เป็นปีที่จะได้รับผลสำเร็จทางการงาน สถานะทางอาชีพมักได้รับการยกระดับ มีการขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น สิ่งที่เป็นปัญหา หรือคั่งค้างในทางอาชีพจะสามารถสะสางได้ในช่วงต้นปีนี้ คนที่สมัครงานราศีสิงห์ (17 สิงหาคม - 16 กันยายน)ปี 2567 ปีแห่งการปรับเปลี่ยนมุมมอง การงาน ช่วงเดือนเมษายน จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ในด้านดี เกิดจากความตั้งใจของคุณเอง อยากเปลี่ยนมุมมองใหม่ ๆ ในเรื่องการงานให้เปลี่ยนได้เลย อย่าไปกลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะส่งผลดีเรื่องความก้าวหน้าราศีกันย์ (17 กันยายน - 16 ตุลาคม)ปี 2567 เดือนเมษายน เป็นต้นไป การงานก้าวหน้ามาก มีตำแหน่งสูงขึ้น การติดต่อค้าขาย การค้าออนไลน์ ส่งผลดี มีโอกาสใหม่ ๆ โปรเจคใหม่ ๆ ส่งผลในทิศทางที่ดี การเงิน ดวงการเงินเปิดทาง มีโอกาสได้เงินเป็นกอบเป็นกำ มีโอกาสหารายได้ใหม่ ๆ อุปสรรคปัญหาที่เคยทำให้เหนื่อยล้าจะคลี่คลายในช่วงปี 2567 ดวงการงานดี แถมมีเกณฑ์ผู้ใหญ่อุปถัมภ์อีกด้วยราศีตุลย์ (18 ตุลาคม - 16 พฤศจิกายน)เป็นราศีที่ดวงดี ต่อเนื่องมาถึงปี 2567 เดือนที่ดีที่สุดของราศีตุลย์ คือช่วงเดือน มกราคม - มีนาคม 2567 โดยเฉพาะเรื่องงาน จะได้รับโอกาสที่ดี มีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้หุ้นส่วนใหม่ ลูกค้าใหม่ มีรายได้ใหม่ ๆ หลังจากเดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป จะเป็นช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนค่อนข้างมาก ให้เตรียมตัวรับ ดวงจะเน้นไปที่งานเกี่ยวกับทางไกล หรือต่างประเทศ หากเป็นงานลักษณะนี้จะดีไปตลอดทั้งปี 2567 เลยค่ะราศีพิจิก (17 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม)อาชีพการงานจะดีขึ้นบ้าง หรือจะสามารถต่อสู้ฟันฝ่ากับปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นหลังจากที่ค่อนข้างมีปัญหาให้ฝ่าฟันในช่วงปีที่ผ่านมา ปี 2567 ราศีพิจิกจะมีเงินทองมากองอยู่ตรงหน้าเลย เรื่องงาน มีโอกาสในการงาน ผู้ใหญ่เมตตาให้ความช่วยเหลือไปในทางที่ดี เป็นปีที่ต้องวางแผนด้วยความรวดเร็ว เพราะจังหวะดวงดาวมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วผิดปกติ จังหวะมาปุ้บถ้าช้าอาจหลุดลอยไปได้ราศีธนู (16 ธันวาคม - 14 มกราคม)หากเป็นพนักงานประจำและกำลังเบื่อหน่ายงานปัจจุบัน หรือสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ปีใหม่นี้จะมีโอกาสดี ๆ เข้ามา แต่อาจจะมีเหนื่อยบ้าง มีความต้องการที่จะใฝ่หางานใหม่ ๆ หากเป็นผู้ที่ทำงานส่วนตัวก็ถือว่าเป็นช่วงที่โดดเด่นเป็นอย่างมากที่จะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ใครคิดริเริ่มจะทำธุรกิจในปีนี้ ก็นับว่าเป็นโอาสที่เหมาะสมราศีมังกร (15 มกราคม - 12 กุมภาพันธ์)ปี 2567 ราศีมังกรจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากเมษายนเป็นต้นไป โอกาสในการลงทุน ขยับขยายธุรกิจจะมีเข้ามา ดวงการงานมีการโคจรไปทางที่ดี โดยเฉพาะงานที่มีการเจรจา การขาย พบปะผู้คน เป็นราศีที่มีโอกาสในเรื่องความก้าวหน้าขยับขยาย การได้พบเจอสังคมใหม่ ๆ ในปี 2567 นี้ จุดเด่นเรื่องงานอีกอย่างคือ เป็นปีที่สามารถลงทุนอะไรที่มีความเสี่ยงมากขึ้น โอกาสที่จะมีผลกำไรผลตอบแทนมีลุ้นสูงราศีกุมภ์ (13 กุมภาพันธ์ - 14 มีนาคม)ปี 2567 การงานมีความก้าวหน้า ได้เจอกับหุ้นส่วนใหม่ ใครที่ตั้งใจเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ในช่วงหลังเมษายนจะเป็นโอกาสดีในการเริ่มต้น สามารถเตรียมตัวทำตั้งแต่ต้นปีได้เลยค่ะ หากใครทำงานประจำ และอยากจะย้ายออกจากงาน จะมีโอกาสไปที่ใหม่สมใจราศีมีน (15 มีนาคม - 13 เมษายน)ปี 2567 เป็นช่วงที่กิจกรรมทางอาชีพการงานจะดำเนินไปได้อย่างสำเร็จลุล่วง สำหรับผู้ที่กำลังใฝ่หางานใหม่ก็เป็นช่วงที่เป็นโอกาสดีอย่างมาก เกิดผลดีในเรื่องการงาน ในช่วงหลังเดือนเมษายนเป็นต้นไป สิ่งที่โดดเด่นคืองานเกี่ยวกับการเจรจา เช่น นายหน้า ตัวแทน งานขาย การติดต่อลูกค้า หรือการสมัครงานใหม่ ดวงส่งผลดี ทำให้เกิดความสำเร็จ มีความก้าวหน้าในการทำงานมาก โดยเฉพาะคนที่ทำงานเกี่ยวกับออนไลน์ จะคึกคักมากเป็นพิเศษไม่ว่าดวงของทุกท่านจะเป็นอย่างไร แมนพาวเวอร์เชื่อในศักยภาพของ "คน" เสมอ หากเรามีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ว่าสิ่งใดเราก็จะสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้ค่ะ ขอให้ปี 2567 เป็นปีที่ดีของทุกท่าน การงานราบรื่น มีแต่คนเมตตา สุขภาพร่างกายแข็งแรงนะคะใครกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในหน้าที่การงาน สมัครงานผ่านแมนพาวเวอร์ได้เลยค่ะ คลิก
-
ESG: "ธุรกิจสีเขียว" เทรนด์ธุรกิจที่น่าจับตามองในปี 2024
7 December 2023 ความต้องการทักษะและงานที่สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย 70% ของผู้ว่าจ้าง หรือองค์กรทั่วโลกรายงานว่าพวกเขากำลังรับสมัครหรือวางแผนที่จะรับสมัครงานในตำแหน่งงานกลุ่มเหล่านี้อย่างจริงจัง ตามรายงาน Global Insights ล่าสุดของ ManpowerGroup “The Greening World of Work 2023 Outlook ” งานวิจัยใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่ม “People First Green Transition” โดย ManpowerGroupประเด็นสำคัญ:ภาพรวมงานในอนาคต: 55% ของผู้นำธุรกิจที่ตอบแบบสำรวจคาดการณ์ว่าการลงทุนในธุรกิจธุรกิจสีเขียว สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จะแซงหน้าเทคโนโลยีและเมกะเทรนด์อื่น ๆ ในฐานะผู้สร้างงานหลักในอีก 5 ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้คาดว่าจะสร้างงานสีเขียวใหม่ได้มากถึง 30 ล้านตำแหน่งงานทั่วโลกภายในปี 2023การเติบโตที่พลุ่งพล่านของตำแหน่งงานสีเขียว: ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีความสนใจอย่างมากในการสรรหาบุคลากรที่มีทักษะด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตและการผลิต (36%) และการปฏิบัติการและโลจิสติกส์ (31%) นอกจากนี้ยังขยายไปถึงอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ เช่น IT (30%), งานขายและการตลาด (27%), วิศวกรรม (26%) เป็นต้นช่องว่างด้านทักษะและนวัตกรรม: แม้กระแสการตื่นตัวเรื่อง ESG จะสูงขึ้น แต่ 94% ของบริษัทต่าง ๆ รับทราบถึงการขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนจำนวนมากในการฝึกอบรมและการพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะแรงงานสำหรับเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านโดยผู้บริโภค: รายงานเน้นย้ำว่าในปีที่ผ่านมา 49% ของผู้บริโภคทั่วโลกเลือกที่จะจ่ายเงินแบบพรีเมียมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม Gen Z เป็นกลุ่มที่เป็นผู้นำในการสร้างความตระหนักรู้ต่อความยั่งยืน โดย 75% ของกลุ่ม Gen Z กล่าวว่า "ความยั่งยืน (Sustainability)" กลายเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซือสินค้ามากกว่าเรื่องแบรนด์การสนับสนุนจากรัฐบาล: บทบาทจากภาครัฐนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการยกระดับอุตสาหกรรมสีเขียว และดำเนินธุรกิจตามหลักของ ESG การมีนโยบายที่สนับสนุนอย่งเป็นรูปธรรม เช่น แผนอุตสาหกรรม Green Deal มูลค่า 225 พันล้านยูโรของสหภาพยุโรป และพระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่จัดหาพลังงานสะอาด 369 พันล้านดอลลาร์ เป็นต้นกระแสเรื่อง ESG เป็นเทรนด์ธุรกิจที่กำลังมาแรง และเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากในปี 2024 และถือว่าเป็นค่านิยมที่น่าภาคภูมิใจ หลาย ๆ องค์กรใหญ่ออกมาประกาศแสดงจุดยืนชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ และการลงทุนให้สอดคล้องกับ นโยบายความยั่งยืน (Sustainability) และ ESG (Environmental, Social, Governance) รากฐานของการสร้างการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจสีเขียว คือ "แรงงานที่มีทักษะและนวัตกรรม" ซึ่งจากรายงานของ ManpowerGroup Greening World of Work 2023 ได้เผยสิ่งที่ผู้นำธุรกิจสามารถพิสูจน์การดำเนินธุรกิจขององค์กรตนเองให้สอดคล้องกับ ESG ในอนาคตได้อย่างไรดาวน์โหลดรายงานได้ที่นี่:
-
อัพเดต! วันหยุดยาวเดือนธันวาคม 2566
1 December 2023 ยินดีต้อนรับเข้าสู่เดือนธันวาคม 2566 เดือนสุดท้ายของปีกันแล้วค่ะทุกคนนน เดือนนี้ถือว่าเป็นอีกเดือนที่มีวันหยุดเยอะ และหากใครวางแผนการลาดี ๆ จะทำให้ได้วันหยุดยาวเพิ่มอีกหลายวันเลยค่ะวันนี้แมนพาวเวอร์ขอแวะมาอัพเดตวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 กันซักหน่อยนะคะวันหยุดเดือนธันวาคม 2566 วันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2566 วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร , วันพ่อแห่งชาติ (วันหยุดยาว 4 วัน : 2-5 ธันวาคม 2566) *ลาวันที่ 4*วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2566 วันหยุดชดเชยวันรัฐธรรมนูญ (วันหยุดยาว 4 วัน : 8-11 ธันวาคม 2566) *ลาวันที่ 8*วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2566 วันคริสต์มาส (วันหยุดตามเงื่อนไขแต่ละบริษัท)วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2566 สำหรับวันหยุดในเดือนธันวาคม 2566 ครม. มีมติเห็นชอบให้เลื่อนวันหยุดปีใหม่ โดยเลื่อนจากวันที่ 2 ม.ค. 2567 มาหยุดในวันที่ 29 ธ.ค. 2566 หรือเริ่มหยุดปีใหม่ในวันที่ 29 ธ.ค. 2566 - 1 ม.ค. 2567 ทำให้มีวันหยุดยาว 4 วันเท่าเดิม เพื่อให้เป็นวันหยุดยาวและหยุดต่อเนื่องสำหรับการเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของของประเทศไปด้วยวันหยุดสิ้นปี (วันหยุดยาว 4 วัน : 29 ธันวาคม 2566 - 1 มกราคม 2567)มนุษย์เงินเดือนคนไหนยังเหลือวันลาพักร้อนอยู่ อย่าลืมถือโอกาสนี้ลาหยุดยาวไปพักผ่อน ใช้เวลากับครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูงกันนะค้าาา หลังจากที่ตรากตรำทำงานหนักกันมาตลอดทั้งปี!!!
-
มนุษย์เงินเดือนต้องรู้! คำนวนภาษียังไง อะไรลดหย่อนได้บ้าง?
29 November 2023 ช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ นอกจากจะวางแผนไปเที่ยวแล้ว ก็มีเทศกาลลดหย่อนภาษีนี่แหละค่ะ ที่ถือเป็น To do list ของเหล่ามนุษย์เงินเดือนอย่างเรา เพื่อที่จะนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงต้นปีนั่นเองสำหรับใครที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของการเสียภาษี เงินเดือนเท่านี้ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ วันนี้แมนพาวเวอร์มัดรวมข้อมูลการจ่ายภาษีฉบับง๊ายง่าย แม้แต่ First Jobber ก็เข้าใจได้ไม่ยาก รวมถึงทริคลดหย่อนภาษีสำหรับมนุษย์เงินเดือนมาให้แล้วค่ะ! ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร?อ้างอิงจากกรมสรรพากรภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มี ลักษณะพิเศษ ตามที่กฎหมายกําหนดและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กําหนด ซึ่งโดยปกติจะจัดเก็บเป็นรายปี รายได้ที่ได้รับในปีใด ๆ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเอง ตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนด ภายในเดือนมกราคม ถึงมีนาคมของปีถัดไป ใครมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาบ้าง?ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีภาษีจะมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ก็ต่อเมื่อมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าเมื่อคำนวณภาษีแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ เกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี (1) บุคคลธรรมดาและผู้ถึงแก่ความตาย มีเงินได้พึงประเมิน ดังนี้ประเภทเงินได้โสดสมรสเงินเดือนเพียงอย่างเดียว120,000220,000เงินได้ประเภทอื่น60,000120,000 (2) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล มีเงินได้พึงประเมินเกิน 60,000 บาท (3) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง มีเงินได้พึงประเมินเกิน 60,000 บาท บุคคลธรรมดาต้องยื่นแบบภาษีเมื่อไร?สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินได้ ปกติการยื่นแบบแสดงรายการ จะยื่นปีละ 1 ครั้ง (ยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป) วิธีการคิดคำนวณภาษี ทำอย่างไร?สำหรับการคำนวณภาษีที่เราต้องจ่ายนั้นมีหลักง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ในที่นี้เราจะพูดถึงเฉพาะการยื่นแบบ ภงด.91 สำหรับผู้มีเงินได้จากการแจ้งแรงงาน หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ผู้ที่มีรายได้ทางเดียว ซึ่งจะมีขั้นตอนการคำนวนภาษีแบบขั้นบันได ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ ขั้นตอนที่ 2เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย ตัวอย่างสมมติว่าคุณมีเงินเดือน เดือนละ 26,583.33 บาท x 12 เดือน (ต้องคิดทั้งปี) = 319,000 บาท สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 100,000 บาท* + หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท + หักเงินสะสมกองทุนประกันสังคมรวมทั้งปี 9,000 บาทค่าใช้จ่ายได้ 50% (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)จะได้สูตรคำนวนเงินได้สุทธิ ดังนี้เงินได้ 319,000 บาท – ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท – ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท – เงินกองทุนประกันสังคม 9,000 บาท = เงินได้สุทธิ 150,000 บาทจากนั้นเราก็ไปดูว่ารายได้สุทธิของเราอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ (ในตาราง) อัตราภาษีเงินได้ แบบขั้นบันไดเงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท (อัตราภาษี 0% หรือได้รับการยกเว้นภาษี) ค่าภาษี = 0เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท (อัตราภาษี 5%) ค่าภาษี = (เงินได้สุทธิ – 150,000) x 5%เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท (อัตราภาษี 10%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 300,000) x 10% ] + 7,500เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท (อัตราภาษี 15%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 500,000) x 15% ] + 27,500เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 (อัตราภาษี 20%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 750,000) x 20% ] + 65,000เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท (อัตราภาษี 25%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 1,000,000) x 25% ] + 115,000เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท (อัตราภาษี 30%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 2,000,000) x 30% ] + 365,000เงินได้สุทธิมากกว่า 5 ล้านบาท (อัตราภาษี 35%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 5,000,000) x 35% ] + 1,265,000ดังนั้น บุคคลที่มีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท (หรือมีเงินเดือน เดือนละไม่เกิน 26,583.33 บาท) ต้องยื่นภาษี แต่ไม่ต้องเสียภาษี การลดหย่อนภาษีคืออะไร และมีวิธีการอย่างไร?ค่าลดหย่อน คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างหนึ่งที่ช่วยทำให้เสียภาษีน้อยลงเมื่อ คำนวณภาษี หรืออาจช่วยให้ได้เงินคืนภาษีเพิ่มขึ้น หากเรามีการวางแผนภาษีล่วงหน้า ลองคำนวณว่าในปีนี้เราจะเสียภาษีประมาณเท่าไหร่ และมีอะไรที่ลดหย่อนภาษีได้บ้างซึ่งวิธีลดหย่อนภาษีสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการจับจ่ายใช้สอยต่างๆ ในชีวิตประจำวันก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วยเช่นกัน ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด! ขั้นตอนการยื่นภาษีการยื่นภาษี สามารถยื่นได้ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ดังนี้1. สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาสําหรับการยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ผู้มีเงินได้สามารถยื่นแบบฯ ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง 2. ที่ทําการไปรษณีย์สําหรับการยื่นแบบฯ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม เท่านั้น มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 2.1 ผู้มีเงินได้มีภูมิลําเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร 2.2 ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน พร้อมแนบเช็ค (ประเภท ข. ค. หรือ ง.) หรือ ธนาณัติ (ตามจํานวนเงินภาษีที่ต้องชําระทั้งจํานวน) โดยส่งไปยัง กองบริหารการคลังและรายได้กรมสรรพากร อาคารกรมสรรพากรเลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธินเขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 2.3 กรมสรรพากรจะถือเอาวันที่ลงทะเบียนไปรษณีย์เป็นวันรับแบบและชําระภาษีและจะส่งใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ยื่นแบบฯ ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน 3. เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th/และเลือก “ยื่นแบบออนไลน์” การวางแผนภาษีที่ดีและใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยๆ จะทำให้เราประหยัดภาษีได้อย่างมาก ไม่ว่าจะรายได้ ค่าใช้จ่ายหรือเงินออมเงินลงทุนใด ๆ และสำหรับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2567 นั้น สามารถยื่นภาษีแบบเอกสารหรือกระดาษ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567 หรือจะยื่นภาษีออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 8 เม.ย. 2567 อ้างอิงแหล่งที่มา: กรมสรรพากร, iTAX, TTB BANK
-
แมนพาวเวอร์ชวนชาวออฟฟิศไปลอย (งาน) กระทง ฉบับสายเขียว!!!
22 November 2023 วันลอยกระทงมาถึงแล้วววววว ปีนี้ตรงกับวันจันทร์ด้วย ชวนชาวออฟฟิศไปลอยงาน เอ้ย ลอยกระทงพร้อมกันดีกว่า!ชาวออฟฟิศทวนความจำกันซักนิด วันลอยกระทงคืออะไร?วันลอยกระทง เป็นเทศกาลสำคัญในประเทศไทย ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีความหมาย ในทุก ๆ ปีวันลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรดติไทย วันลอยกระทง 2566 นี้จะตรงกับวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน นั่นเองลอยกระทงมาจากคำไทยว่า "ลอย" ซึ่งแปลว่า ลอย และ “กระทง” หมายถึง ภาชนะรูปดอกบัวที่ทำจากใบตอง กระทงที่ประดิษฐ์อย่างสวยงามเหล่านี้ประดับด้วยดอกไม้ ธูป และเทียนวัตถุประสงค์ของวันลอยกระทง"ลอยกระทง" ถือว่าเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งจะเป็นการขอขมา พระแม่คงคา จากการกระทำที่เคยล่วงเกินไป นอกจากนี้ ลอยกระทงยังเปรียบเหมือนการปล่อยให้ความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ลอยไปกับกระทงในแม่น้ำ คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์ ผู้ลอยกระทงยังมักจะอธิษฐานขอพรเพื่อให้ประสบความสำเร็จอีกด้วยกิจกรรมที่นิยมทำกันในวันลอยกระทงนำกระทงไปลอยตามแม่น้ำลำคลอง หรือตามแหล่งน้ำที่มีการจัดพิธีการประกวดประดิษฐ์กระทงเวทีประกวดนางนพมาศการละเล่นพื้นเมือง เช่น รำวงเพลงเรือ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทยปล่อยโคมลอย (ต้องปล่อยในลานโล่ง ๆ หรือในสถานที่ที่จัดไว้เท่านั้นนะคะ)วันลอยกระทงเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างไร?ที่บอกว่าเราจะพามาลอยกระทงฉบับสายเขียว คือเรื่องจริงไม่จ้อจี้นะคะ! สายเขียว = สิ่งแวดล้อม ต้นไม้ ใบหญ้านั่นเองค่ะ เนื่องด้วยปัจจุบัน จำนวนประชากรมีเพิ่มมากขึ้น การลอยกระทงนั้นจึงเป็นการสร้างขยะในแม่น้ำลำคลอง จนกลับกลายเป็นการส่งผลเสียไปโดยปริยายการใช้วัสดุที่ไม่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพมากเกินไปในการก่อสร้างกระทงได้ ผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุเหล่านี้ไม่สลายตัวได้ง่ายและสามารถคงอยู่ในแหล่งน้ำได้นานหลายปี ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำและเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทางน้ำ นอกจากนี้ การจุดเทียนและธูปบนกระทงยังปล่อยมลพิษที่เป็นอันตรายออกสู่อากาศ และทำให้มลพิษทางอากาศแย่ลงไปอีกจากการศึกษาของกรมควบคุมมลพิษแห่งประเทศไทยในปี 2564 คาดว่ามีกระทงมากกว่า 25 ล้านกระทง ถูกนำมาใช้ในช่วงเทศกาลลอยกระทงโดยส่วนใหญ่ทำจากวัสดุที่ไม่ย่อยสลายทางชีวภาพ การศึกษาเน้นย้ำว่าการใช้วัสดุสังเคราะห์และมลพิษที่ปล่อยออกมาในช่วงเทศกาลส่งผลเสียต่อคุณภาพน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพของแม่น้ำและทะเลสาบเพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลไทยได้ดำเนินโครงการริเริ่มต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในช่วง ลอยกระทง ชุมชนหลายแห่งเริ่มใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เช่น ขนมปังหรือวัสดุจากพืชเพื่อทำกระทง นอกจากนี้ ยังมีการใช้แคมเปญสร้างความตระหนักรู้และโปรแกรมการศึกษาเพื่อให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของวัสดุที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และส่งเสริมการเฉลิมฉลองอย่างมีความรับผิดชอบแมนพาวเวอร์เชิญชวนลอยกระทง แบบลดภาระสิ่งแวดล้อมตามหลัก BCG โมเดล (Bioeconomy Circular Economy และ Green Economy)เพื่อแก้ไขปัญหานี้และสอดคล้องกับ หลักการของแบบจำลอง BCG (Bioeconomy Circular Economy และ Green Economy) ได้มีการริเริ่มเพื่อส่งเสริมทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับลอยกระทง คำแนะนำบางประการมีดังนี้1. ใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ: แทนที่จะใช้วัสดุอย่างโฟมหรือพลาสติก ให้เลือกวัสดุจากธรรมชาติและย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เช่น ก้านกล้วย ขนมปัง หรือวัสดุจากพืชเพื่อทำกระทง วัสดุเหล่านี้จะสลายตัวตามธรรมชาติและลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม2. เลือกการตกแต่งจากธรรมชาติ: แทนที่จะใช้ดอกไม้ประดิษฐ์หรือวัสดุสังเคราะห์ในการตกแต่งกระทง ให้ลองใช้ดอกไม้สด ใบไม้ หรือองค์ประกอบทางธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงามเท่านั้น แต่ยังรับประกันว่าวัสดุที่ใช้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย3. สนับสนุนช่างฝีมือในท้องถิ่น: แทนที่จะซื้อกระทงที่ผลิตในปริมาณมาก ให้พิจารณาซื้อกระทงทำมือจากช่างฝีมือในท้องถิ่น สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการใช้วัสดุที่ยั่งยืนและงานฝีมือแบบดั้งเดิมอีกด้วย4. เข้าร่วมในโครงการริเริ่มของชุมชน: ชุมชนหลายแห่งจัดกิจกรรมและการแข่งขันเพื่อส่งเสริมกระทงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมในโครงการริเริ่มเหล่านี้ เรียนรู้จากผู้อื่น และมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเทศกาลปัจจุบันโลกของเราตระหนักถึง "การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม" กันมากขึ้น ซึ่งแมนพาวเวอร์มองว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการลดมลพิษและปกป้องสิ่งแวดล้อมของเราสำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไปได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุกโอกาส รวมถึงในเทศกาล ประเพณีต่าง ๆ เช่นกันอย่างไรก็ตามแมนพาวเวอร์ขอให้ทุกท่านสนุก และเพลิดเพลินไปกับวันลอยกระทงปี 2566 นะคะ
-
ธุรกิจควรรู้ 5 เรื่องสำคัญในการจ่ายเงินเดือนพนักงาน
21 November 2023 การจัดการทรัพยากรบุคคล หรือพนักงานในองค์กรนั้นมีหลายเรื่องที่เจ้าของธุรกิจและผู้บริหารบริษัทต้องคำนึง ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางแผนโครงสร้างองค์กร หรือการหาคนทำงานที่มีคุณภาพ และอีกหนึ่งสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้นั่นคือ การจ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เป็นหนึ่งสิ่งที่ควรใส่ใจในทุกขั้นตอน วันนี้ แมนพาวเวอร์ จะมาแนะนำเรื่องสำคัญที่ธุรกิจและนายจ้างควรศึกษา ก่อนเริ่มจ่ายเงินเดือนพนักงาน เพื่อให้สะดวกต่อทั้งฝ่ายองค์กรและบุคลากร 5 เรื่องสำคัญในการจ่ายเงินเดือนพนักงาน เมื่อกล่าวถึงวิธีจ่ายเงินเดือนพนักงาน เชื่อว่านายจ้างและผู้บริหารธุรกิจคงทราบดีว่าต้องคำนวณจากค่าจ้าง เงินโบนัส รวมไปถึงการหักเงินจากการขาด ลา และรายจ่ายอื่น ๆ แต่อาจมีหลายปัจจัยสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรศึกษาเพิ่มเติม ได้แก่ 1.การจัดการฐานข้อมูล ทะเบียน และประวัติพนักงาน การจ้างพนักงานประจำถือเป็นความรับผิดชอบของบริษัทที่ต้องคอยตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอว่า พนักงานได้รับเงินเดือนตามที่กำหนด ถูกต้องตามสัญญาที่ได้กำหนดไว้ ไม่มีการจ่ายเงินเดือนพนักงานล่าช้า หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อรายได้ของบุคลากร ดังนั้น ธุรกิจจึงควรมีการจัดการข้อมูล ทะเบียน และประวัติพนักงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยอาจเป็นการร่วมมือกันระหว่างฝ่ายทรัพยากรบุคคลและฝ่ายบัญชี พร้อมทำการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนกับเงินเดือน เพื่อติดตามประวัติการทำจ่ายในแต่ละเดือน หรือองค์กรอาจเลือกลงทุนในระบบฐานข้อมูลบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ทำการจัดการข้อมูลแบบอัตโนมัติ สร้างความสะดวกรวดเร็ว พร้อมป้องกันไม่ให้เกิด Human Error อีกด้วย 2.การเก็บหลักฐานในการจ่ายเงินเดือน การจ่ายเงินเดือนพนักงานไม่ได้จบแค่เพียงการโอนเงินเท่านั้น แต่ทางองค์กรหรือนายจ้างจำเป็นต้องเก็บหลักฐานการโอนเงินเอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นใบเสร็จหรือเอกสารที่ออกให้พนักงานอย่างสลิปเงินเดือน (Payslip) ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าได้มีการจ่ายเงินเดือนแล้ว หากมีข้อผิดพลาด เช่น ระบบ HRM ขององค์กรเกิด Error หรือระบบของทางธนาคารขัดข้อง ทางองค์กรก็จะมีหลักฐานในการใช้ดำเนินการแก้ไขกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ หลักฐานสลิปเงินเดือนยังสามารถใช้เป็นรายจ่ายทางด้านภาษีของกิจการ เนื่องจากจำเป็นต้องมีหลักฐานการจ่ายที่พิสูจน์ผู้รับได้ พูดได้ว่าหลักฐานการจ่ายเงินเดือน เช่น สลิปเงินเดือน หรือทะเบียนการจ่ายเงินเดือน ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี 3.การหักภาษี ณ ที่จ่าย หนึ่งในหน้าที่สำคัญที่นอกเหนือจากการจ่ายเงินเดือนพนักงาน คือ การหักและนำส่งภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 50 แห่งกฎหมายประมวลรัษฎากร ที่กำหนดให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หรือเงินเดือนของพนักงานประจำ ต้องหักภาษีเงินได้ไว้ทุกครั้งที่จ่ายเงินเดือน การหักภาษี ณ ที่จ่ายจะเป็นการคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า แล้วจึงแบ่งตามรอบการจ่ายเงินเดือนให้ถูกต้อง ซึ่งหากเจ้าของกิจการมีระบบคอยช่วยคำนวณภาษีของพนักงาน หรือสามารถติดต่อบริษัท Outsource ที่มีบริการรับทำเงินเดือนพนักงานก็จะทำให้การหักภาษี ณ ที่จ่ายรวดเร็วและสะดวกมากยิ่งขึ้น 4.การนำส่งประกันสังคมให้แก่พนักงาน ตามกฎหมาย นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป มีความรับผิดชอบในการจัดทำประกันสังคมให้กับพนักงาน โดยเจ้าของธุรกิจต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนประกันสังคม (นายจ้าง) และขึ้นทะเบียนลูกจ้าง/ผู้ประกันตน เมื่อมีการจ้างลูกจ้างภายใน 30 วัน กับสำนักงานประกันสังคม นอกจากความรับผิดชอบทางกฎหมายแล้ว การทำประกันสังคมให้พนักงานยังเป็นการรับผิดชอบต่อชีวิตพนักงานขององค์กร สร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กร ทำให้ดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคง เอกสารที่ธุรกิจต้องใช้ ได้แก่ หนังสือนำส่งแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-02) ใบแนบแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-03) ของพนักงาน สำเนาบัตรประชาชน พร้อมยื่นข้อมูลเงินสมทบ โดยสามารถทำตามขั้นตอนผ่านเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคมได้ง่าย ๆ 5.ศึกษากฎหมายแรงงาน ว่าด้วยเรื่องของกฎหมายแรงงาน หรือ พ.ร.บ คุ้มครองแรงงาน ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจทุกท่านควรรู้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายการทำสัญญาจ้างแรงงาน การกำหนดระยะเวลาการทำงาน การให้ค่าทำงานล่วงเวลาตามกฎหมาย จำนวนวันหยุดต่อปีตามกฎหมาย สิทธิการลา รวมไปถึงการเลิกจ้างอย่างเป็นธรรม และข้อกฎหมายอื่น ๆ เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของพนักงาน ผลประโยชน์ขององค์กร และเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากข้อพิพาท หรือการฟ้องร้องของลูกจ้างในอนาคต สรุป การจ่ายเงินเดือนพนักงานนั้นมีรายละเอียดสำคัญมากกว่าการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บข้อมูล การหักภาษี ณ ที่จ่าย การทำประกันสังคม รวมไปถึงข้อกฎหมายแรงงานต่าง ๆ ซึ่งเจ้าของธุรกิจและผู้บริหารองค์กรทุกท่านควรศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อไม่เป็นการละเลยหน้าที่ในฐานะนายจ้าง และรักษาผลประโยชน์ของทั้งบริษัทและบุคลากรทั้งนี้ การจ่ายเงินเดือนพนักงานมักมีความซับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากข้อมูลเงินเดือนของพนักงานแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป ทั้งประเภทเงินได้ ค่าล่วงเวลา ค่าคอมมิชชั่น ตลอดจนรายละเอียดของการคำนวณภาษี เงินสมทบกองทุนประกันสังคม หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ดังนั้นการใช้บริการรับทำเงินเดือนจึงเป็นตัวเลือกที่หลายองค์กรหันมาให้ความสนใจ บริการ Payroll สำหรับธุรกิจจาก ManpowerGroup Thailand บริการรับทำเงินเดือนพนักงานจากแมนพาวเวอร์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Payroll Service: บริการรับทำเงินเดือนแบบครบวงจร โดย ManpowerGroup จะคำนวณเงินเดือนและเป็นผู้จ่ายเงินในฐานะ “นายจ้าง” แทนบริษัทลูกค้า Payroll Outsourcing: บริษัทลูกค้าจะเป็นผู้จ่ายเงินเดือนเอง โดยมี ManpowerGroup ทำหน้าที่เป็นผู้คำนวณเงินเดือน องค์กรสามารถมั่นใจได้ถึงความแม่นยำ และความรวดเร็วของการให้บริการ ด้วยประสบการณ์ในด้านทรัพยากรบุคคลที่มากกว่า 20 ปี เราสามารถลดภาระงานและช่วยให้องค์กรสามารถมุ่งเน้นในการพัฒนาบุคลากรและงานเร่งด่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด อีกทั้งยังสามารถปรับให้เข้ากับการจ่ายเงินเดือน พร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบในทุกระดับงาน เพื่อรักษาผลประโยชน์ขององค์กรและพนักงานให้ได้มากที่สุด ติดต่อเราLINE OA: @manpowergroup_thCall Center: 02-171-2345 E-mail: [email protected]
-
1:1 Meeting การประชุมตัวต่อตัวที่เกิดประโยชน์แก่พนักงานมากที่สุด
17 November 2023 "ประชุมอีกแล้ววววว ประชุมทั้งวัน จนไม่เหลือเวลาให้ทำงาน" เสียงจากมนุษย์ออฟฟิศท่านหนึ่ง ใครเจอแบบนี้บ้างคะ?ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของทุกองค์กร เมื่อพูดถึงปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวระหว่างผู้บริหารหรือหัวหน้างานและสมาชิกในทีม "การฟัง" กลายเป็นทักษะสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แต่การประชุม บางครั้งพนักงานอาจรู้สึกว่าไม่สามารถสื่อสารกับหัวหน้าได้ทั่วถึง เราเลยต้องมีการประชุมแบบตัวต่อตัว หรือที่เรียกว่า 1 on 1 Meeting หมายถึงการประชุมแบบเผชิญหน้าโดยไม่มีผู้อื่นเกี่ยวข้อง การประชุมแบบนี้จะมีความเป็นทางการน้อยกว่าการประชุมแบบหมู่คณะ ทำให้สามารถพูดคุยได้ทั้งเรื่องกว้าง ๆ หรือแม้แต่เรื่องส่วนตัวที่ไม่สามารถพูดในพื้นที่สาธารณะได้ ซึ่งการประชุมแบบนี้ข้อดีคือทำให้ลูกน้อย และหัวหน้าได้พูดคุยถึงปัญหาที่กำเผชิญกันได้อย่างตรงไปตรงมา และตรงประเด็นมากขึ้นหากองค์กรรู้จักวิธีประชุมแบบอื่นที่มีประสิทธิภาพ และทำให้พนักงานอยากมีส่วนร่วม เพราะการประชุมที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้น มีแต่จะทำให้ความรู้สึกของพนักงานย่ำแย่ลง จนส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานแบบองค์รวมบทความจาก HBR โดยผู้เขียน Steven G. Rogelberg ได้ศึกษาความเป็นผู้นำ การมีส่วนร่วม และการประชุมในที่ทำงานมาเป็นเวลาหลายสิบปีสิ่งที่ผู้บริหารและหัวหน้างานต้องคำนึงถึงเมื่อสนทนาแบบตัวต่อตัว1.การฟังอย่างกระตือรือร้น การให้ความสนใจผู้พูดอย่างไม่มีการแบ่งแยก การทำความเข้าใจมุมมองของพวกเขา และการถามคำถามที่เกี่ยวข้อง หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะหรือด่วนสรุปก่อนเวลาอันควร ผู้บริหารและหัวหน้างานสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าและสร้างความไว้วางใจกับสมาชิกในทีมได้2. การเอาใจใส่และความเข้าใจ รับฟังปัญหาจากพนักงานด้วยความเอาใจใส่ และระมัดระวัง แสดงให้เห็นว่าเราพยายามเข้าอกเข้าใจ และคิดหาทางแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา นอกจากนี้หากหัวหน้า หรือผู้บริหารสร้างบรรยากาศแวดล้อมให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลาย และกล้าที่จะหยิบยกทุกประเด็นออกมาพูดคุยได้3. เตรียมคำพูดและวิธีการสื่อสารเอาไว้ล่วงหน้า การแสดงความจริงใจออกไป ก่อน เช่นเริ่มต้นด้วยการพูดเรื่องส่วนตัวของเรา เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่าเราก็เปิดใจให้กับพวกเขาเช่นกัน วิธีนี้จะส่งผลทางจิตวิทยา ไม่ให้พนักงานรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายพูดเรื่องส่วนตัวอยู่ข้างเดียว และมองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม จึงพร้อมเล่าเรื่องส่วนตัวออกมาเหมือนกัน4. กำหนดเวลาที่เหมาะสม ควรกำหนดตาราง 1:1 meeting ให้เป็นกิจวัตร เช่น พบปะกับสมาชิกในทีมแต่ละคนสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลา 30 นาทีหรือมากกว่านั้น 5. เน้นฟังมากกว่าพูด: สิ่งที่สำคัญที่สุดของการประชุมแบบ 1:1 คือการเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมแชร์เรื่องราวต่าง ๆ ให้มากที่สุด และหัวหน้า หรือผู้บริหารควรเน้นฟัง และระมัดระวังคำพูดที่เป็นแง่คิด ทัศนคติในเชิงลบการจัดลำดับความสำคัญในการรับฟังในการประชุมแบบ 1:1 ผู้บริหารและหัวหน้างานสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น สร้างความไว้วางใจ และสร้างประสิทธิผล สภาพแวดล้อมการทำงาน โปรดจำไว้ว่า การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นถนนสองทาง และด้วยการฟังมากกว่าการพูด ผู้นำจึงสามารถเข้าใจและสนับสนุนสมาชิกในทีมได้อย่างแท้จริงค่ะ
-
Recruitment Consultant, Recruiter, Headhunter ต่างกันอย่างไร?
13 November 2023 ในวงการ HR หรือฝ่ายทรัพยากรบุคคล นั้นมีรูปแบบการรับสมัครพนักงานทั้งแบบ Passive หรือการรอตรวจสอบใบเรซูเม่ที่ผู้สมัครส่งเข้ามาผ่านช่องทางรับสมัครต่าง ๆ ของบริษัท และการรับสมัครแบบ Active ที่ “Recruiter” จะทำหน้าที่คอยติดต่อผู้มีศักยภาพ เพื่อยื่นข้อเสนอให้เข้ามาเป็นบุคลากรขององค์กรทั้งนี้ นอกจากตำแหน่ง Recruiter ยังมีตำแหน่ง Recruitment Consultant และ Headhunter อีกด้วย ซึ่งมักถูกใช้สลับกันบ่อย ๆ แต่อันที่จริง ทั้ง 3 ตำแหน่งนี้มีหน้าที่และจุดประสงค์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นแมนพาวเวอร์จะมาบอกข้อแตกต่างระหว่างสามตำแหน่งงานดังกล่าว ไขข้อสงสัยของทุกท่านให้กระจ่างRecruitment Consultant คือRecruitment Consultant (หรือHR Consultant) คือ ผู้ที่ทำงานอยู่ในบริษัทจัดหาคนทำงาน (Recruitment Agency) โดยเป็นคนกลางที่มีหน้าที่ช่วยสนับสนุนองค์กรในการสรรหาหาบุคลากร รวมไปถึงนำเสนอโปรไฟล์ของผู้หางานแก่บริษัทต่าง ๆ ดังนั้น Recruitment Consultant จึงถือเป็นฝ่ายที่ได้ทำงานร่วมกับ HR และ Candidate อยู่เสมอ แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์นั้น ๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจหน้าที่สำคัญของ Recruitment Consultantทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างบริษัทผู้ว่าจ้าง และผู้หางาน ติดต่อดำเนินการให้แก่ทั้งสองฝ่าย เพื่อให้กระบวนการสมัครงานเป็นไปอย่างราบรื่นช่วยสนับสนุน HR ในการหา Candidate โดยอาจค้นหาจากรายชื่อที่มีอยู่ในฐานข้อมูล จาก ตามเรซูเม่ที่ส่งมาตามประกาศหางาน หรือผู้ที่มีโปรไฟล์น่าสนใจบนสื่อโซเชียลอย่าง LinkedIn คัดสรรผู้ที่มีศักยภาพมาเป็นบุคลากรขององค์กรผู้ว่าจ้าง ตามคุณสมบัติที่ระบุเอาไว้ โดยเป็นคุณสมบัติทั่วไป เช่น ระดับการศึกษา ทักษะ และประสบการณ์ เป็นต้นทำหน้าที่ต่อรองเงินเดือนให้กับทั้งฝั่งบริษัทและผู้สมัครงาน เพื่อให้พบกันตรงกลางมากขึ้นแนะนำบริษัทและตำแหน่งงานให้แก่ Candidate หรือผู้สมัครงานสำหรับองค์กรแล้ว ข้อดีของ Recruitment Consultant คือ การได้แบ่งเบาภาระของฝ่าย HR พร้อมได้โปรไฟล์ของผู้สมัครงานจำนวนมากในเวลาอันสั้น ตั้งแต่ระดับ Officer, Staff ไปจนถึง C-Level และ Management อีกทั้งได้รับคำปรึกษาจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของ Recruitment Consultant คือ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขึ้นมาที่องค์กรจำเป็นต้องจ่าย แต่ก็ถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า หากได้พบกับ Recruitment Agency ที่ดีและมีประสิทธิภาพRecruiter คือRecruiter หรือ Corporate Recruiter นั้นแตกต่างจาก Recruitment Consultant เพราะ Recruiter นั้นเป็นส่วนหนึ่งของฝ่าย HR ในองค์กร ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการหาคนทำงานให้กับบริษัท เติมเต็มบุคลากรตามอัตรากำลังคนที่บริษัทต้องการ โดยตำแหน่ง Recruiter นั้นมีหน้าที่หลากหลาย ตั้งแต่การสรรหาคนทำงาน จัดทำเอกสาร ออกบูธ Job Fair ต่าง ๆ ไปจนถึงการ Onboarding พนักงานใหม่ พูดได้ว่า Recruiter เป็นบุคคลสำคัญขององค์กรในการคัดสรรบุคลากรที่มีศักยภาพแก่องค์กรหน้าที่สำคัญของ Recruiterเป็นตัวแทนขององค์กรในการค้นหาและคัดสรรบุคลากรตามความต้องการของบริษัท หรือตำแหน่งที่ยังว่างอยู่ในแต่ละแผนกทำหน้าที่ทั้งหมดที่เกี่ยวกับ HR เริ่มตั้งแต่ การค้นหา Candidate กำหนดวันสัมภาษณ์ ต่อรองเงินเดือน และทำสัญญาจ้างRecruiter คือ ตัวแทนขององค์กรในการติดต่อ Candidate ซึ่งถือเป็นหน้าตาของบริษัทในการสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาสมัครงานอย่างที่กล่าวไป Recruiter นั้นเป็นส่วนสำคัญขององค์กร แต่ในบางครั้งการหา Candidate จำนวนมาก ๆ อาจใช้เวลานาน จึงต้องอาศัยการสนับสนุนจากบริษัท Outsourceในการหาผู้ที่มีศักยภาพและทักษะเฉพาะทางให้เข้ากับตำแหน่งงานHeadhunter คือHeadhunter คือ ผู้ทำหน้าที่ในการค้นหาผู้สมัครงานคล้ายกับ Recruitment Consultant แต่แตกต่างตรงที่ Headhunter มีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรบุคลากรที่มีความเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ หรือเรียกว่า High-Profile Candidate โดยองค์กรสามารถระบุตำแหน่งหรืออุตสาหกรรมที่ต้องการ หรือในบางกรณี ผู้ว่าจ้างอาจระบุชื่อบุคคลที่ต้องการให้เข้ามาอยู่ในองค์กร แม้ว่าบุคคลดังกล่าวยังไม่ได้สนใจเปลี่ยนงานก็ตาม ซึ่งตำแหน่งที่มักใช้ Headhunter เข้ามาช่วยสนับสนุน มักจำเป็นตำแหน่งระดับสูง เช่น Managing Director หรือ Vice President ไปจนถึงบุคคลในตำแหน่ง C-Level เลยทีเดียวหน้าที่สำคัญของ Headhunterทำหน้าที่คัดสรรบุคลากรที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นที่ต้องการขององค์กรผู้ว่าจ้างเน้นการคัดสรรพนักงานระดับสูง ในธุรกิจที่มีความเฉพาะเจาะจงมุ่งเน้นหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการขององค์กรมากที่สุด แม้จะเป็น Passive Candidate ที่ไม่ได้มองหางานใหม่อยู่ก็ตามโดยทั่วไป Headhunter ผู้สรรหางานภายนอกองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญ และอาจคิดค่าบริการสูงกว่า Recruitment Consultant หรือมีการคิดคำนวณค่า Commission สูง ทั้งนี้ก็เป็นการลงทุนเพื่อให้องค์กรได้บุคลากรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆสรุปได้ว่าแม้ทั้ง 3 ตำแหน่งงานนี้จะมีหน้าที่หลักที่คล้ายกัน คือ การสรรหาบุคลากรให้แก่องค์กร ถึงอย่างนั้น แต่ละตำแหน่งก็มีหน้าที่และรูปแบบการทำงานที่ไม่เหมือนกัน โดยที่ Recruiter นั้นเป็นตำแหน่งภายในองค์กรที่มีหน้าที่ค้นหา Candidate และงานฝ่าย HR อย่างครอบคลุม ส่วน Recruitment Consultant และ Headhunter นั้นถือเป็นบริษัท Outsource ที่เข้ามาช่วยสนับสนุน HR ในการหาคนทำงาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวองค์กรว่าต้องการคัดสรรคนทำงานในตำแหน่งไหนใด หรือต้องการ Candidate ที่เฉพาะเจาะจงมากเพียงใดไหนนั่นเองโดย HR Consultant และ Recruitment Agency มีบริการครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นในการสรรหา ประกาศรับสมัคร และคัดเลือกบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ หรือจ้างชั่วคราว รวมไปถึงช่วยเหลืองานฝ่ายทรัพยากรบุคคลด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทจัดหางานยังมีบริการอื่น ๆ ที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระบริษัทได้ อาทิบริการรับทำเงินเดือน(Payroll) บริการทำวีซ่า และออกใบอนุญาตทำงานสำหรับพนักงานชาวต่างชาติ พูดได้ว่าเป็นหนึ่งช่องทางหาคนทำงานที่มีประสิทธิภาพ และให้ประโยชน์กับองค์กรในระยะยาวหากธุรกิจหรือองค์กรต้องการเฟ้นหาบุคลากรคุณภาพ ManpowerGroup Thailand พร้อมมอบบริการที่ตอบโจทย์และตอบสนองกับการพัฒนาธุรกิจคุณManpower เก่งหาคน ถนัดหางาน “We Love our Jobs”บริษัทจัดหางานชั้นนำระดับโลก ตอบโจทย์การให้บริการอย่างครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปี ในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันติดต่อเราLINE OA: @manpowergroup_thCall Center: 02-171-2345E-mail: [email protected]
-
รวมบทสวดสุดปัง สัมภาษณ์งานผ่านฉลุย!
30 October 2023 "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา" คำนี้ยังใช้ได้เสมอค่ะ!คนไทยสายมู ไม่เกินจริง ยิ่งเรื่องการงาน และความรักแล้วนั้น มีหรอพวกเราจะพลาด บทความนี้เขียนมาเพื่อคนที่กำลังจะสมัครงาน หรือไปสัมภาษณ์งานโดยเฉพาะ เพราะเรามี "คาถาสมัครงาน" มาฝากกันด้วย รวมไปถึงคาถาเมตตามหานิยม ไปอยู่ที่ไหนใคร ๆ ก็รักเอ็นดูปูเสื่อ ปัง ๆ กันไปเลย แต่ ๆๆๆ FYI ไว้ก่อนนะคะว่า นี่เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณยานในการรับชมค่ะ คาถาสมัครงานใช้สวดก่อนออกจากบ้าน หรือกำลังจะสัมภาษณ์งาน เชื่อว่าจะทำให้ผู้สัมภาษณ์ก่อนความประทับใจในตัวเรา(ตั้งนะโม ๓ จบ)พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะริรัญ ชีวิตัญวิทังนะโมมิตตามนุสสาจะ นะเมตตา โมกรุณาคาถาเมตตามหานิยม (หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)อานุภาพของคาถานี้ ถ้าได้สวดภาวนาเป็นประจำย่อมเป็นที่รักใคร่เมตตาของคนทั่วไป อาทิ ญาติผู้ใหญ่ เจ้านาย คู่ค้า ลูกค้า เรียกว่าไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหน ใคร ๆ ก็รักก็เอ็นดูพุทธะเมตตัง จิตตัง มะมะ พุทธะพุทธา นุภาเวนะ ธัมมะเมตตัง จิตตัง มะมะ ธัมมะธัมมา นุภาเวนะ สังฆะเมตตัง จิตตัง มะมะ สังฆะสังฆา นุภาเวนะ (ท่อง 9 จบ)คาถาท่านปู่พระอินทร์ (คาถาทิพยจักขุ)พระคาถานี้มาจากพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันในชื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง(ตั้งนะโม ๓ จบ)สะหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิตั้งใจขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ทำข้อสอบนี้ได้ถูกต้องและก็ถูกใจกรรมการ ผู้ตรวจข้อสอบด้วย ตั้งใจว่านะโม ๓ จบ แล้วก็ว่าคาถานี้ ๓ จบ แล้วพลิกขึ้น มาอ่านคำถามดู ถ้ายังทำได้ไม่หมดก็คว่ำลง ว่าคาถาอีก ๗ จบ คราวนี้รู้สึก อยากตอบอย่างไรก็ให้ทำไปเลยคาถาของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม (บ้านแค)(ตั้งนะโม ๓ จบ)โสทาโย นะโมนะมัสสกาโร โสทายะอิมังคาถา พุทธะมาเรโส ธัมมะมาเรโส สังคะมาเรโสจากนั้นให้เพ่งสมาธิจิตแน่วแน่ แล้วพูดว่า ขอให้ข้าพเจ้า (ชื่อ - นามสกุล วันเดือนปีเกิด) ขอให้ได้งานสำเร็จศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ตั้งใจไว้คาถานี้ จริง ๆ แล้วเป็นคาถาของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม (บ้านแค) ซึ่งเกจิอาจารย์ชื่อดังใน จังหวัดชัยนาท แถมยังเป็นศิษย์ของสุดยอดครูบาอาจารย์หลายรูป ซึ่งคาถานี้ เป็นคาถาที่ช่วยได้ในหลาย ๆ เรื่อง แน่นอนว่า หนึ่งในนั้นคือเรื่องงานทั้งนี้ทั้งนั้น นอกจากเตรียมท่องคาถาเสริมพลัง และความมั่นใจของตัวเองแล้ว ต้องไม่ลืมเตรียมความพร้อม อ่านข้อมูลบริษัทที่จะเข้าไปสัมภาษณ์ด้วยนะคะ! ขอให้ทุกท่านโชคดีในการสัมภาษณ์ และได้งานตามที่หวังไว้ค่ะเพิ่มโอกาสในการร่วมงานกับบริษัทชั้นนำทั่วโลก ติดต่อแมนพาวเวอร์ได้ที่นี่เลยค่ะ คลิก
-
วิธีสังเกตลิ้งก์มิจฉาชีพ! เช็คให้ดีก่อนคลิก
16 October 2023 ในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อค้นหาข้อมูล การซื้อของ หรือแม้กระทั่งการทำธุรกรรมออนไลน์ แต่!!! ความสะดวกสบายเหล่านี้อาจแฝงไปด้วยภัยอันตรายจากมิจฉาชีพเช่นเดียวกัน เพราะในปัจจุบันก็มีเหยื่อหลายรายถูกล่อลวงจากความไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพ โดยภัยอันตรายของเว็บไซต์ปลอมส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการตั้งผ่าน URL หรือการพาดหัวเว็บไซต์ให้ใกล้เคียงกับเว็บไซต์จริง หลอกให้เราคลิกลิงก์เพื่อหวังล้วงข้อมูลส่วนตัวบางอย่างเนื่องจากเดือนตุลาคมนี้ เป็นเดือนแห่งการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Awareness Month) ทางแมนพาวเวอร์จึงอยากมาแบ่งปันวิธีสังเกตลิ้งก์เว็บไซต์ปลอมต่าง ๆ มาฝากกันค่ะเว็บไซต์ที่มีตัวตนจริง ๆ หรือเว็บไซต์ที่เป็นทางการส่วนใหญ่นั้นจะใช้ชื่อเว็บไซต์ที่สามารถจดจำได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อน เช่น manpowerthailand.com หรือ google.com เป็นต้นURL https ไม่มีตัว S หากพบว่า https ที่อยู่ต้นลิ้งก์ไม่มีตัว S ให้หลีกเลี่ยงเลยค่ะ เพราะตามปกติแล้วลิ้งก์ที่ปลอดภัย จะมีตัว s อยู่เสมอค่ะอีกวิธีที่เราสังเกตได้คือ การสังเกตโดเมนเนม โดยปกติแล้วเว็บไซต์ทั่วไปที่เป็นเว็บไซต์ค้าขายออนไลน์/เว็บไซต์เชิงพาณิชย์จะใช้โดเมนเนมเป็น .com แต่ถ้าหากเป็นเว็บไซต์หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่สกุลที่ใช้จะมีท้ายลิงก์เป็น .go.th และ .or.th แต่นอกจากโดเมนเนมที่ได้กล่าวไปข้างต้น ก็ยังมีนามสกุลอื่น ๆ ที่เราสามารถตรวจสอบได้เหมือนกันอีกนะ ตามไปดูลิสต์นามสกุลด้านล่างนี้เลย.go.th : หน่วยงานภาครัฐ.or.th : องค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิ พรรคการเมือง องค์กรอิสระ.ac.th : หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา.co.th : ธุรกิจร้านค้าในไทย.mi.th : หน่วยงานภายใต้กองทัพไทย.net.th : ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม.in.th : องค์กรทุกประเภทตามกฎหมายไทยและทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคดี ๆ ที่เรานำมาฝาก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากเหล่ามิจฉาชีพที่แอบอ้างทำเว็บไซต์ปลอม ดังนั้นโปรดระวัง และเช็คให้ชัวร์ก่อนจะทำธุรกรรมออนไลน์ หรือคลิกลิ้งก์ต่าง ๆ นะคะ อ้างอิงข้อมูลบางส่วน: BOT, Krungsri
-
ปฏิเสธไม่เป็น รับงานล้นมือ กลายเป็น “เดอะแบก” เสี่ยงหมดไฟ!
12 October 2023 มนุษย์ออฟฟิศคนไหน ที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็น "เดอะแบก" ของทีมบ้าง ?ทำงานในส่วนของตัวเองยังไม่พอ ยังรับงานของคนอื่นมาทำอีก หรือแม้กระทั่งเป็นเพราะเราเอง ที่ไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำ และเอางานทุกอย่างมาทำคนเดียว อาจทำให้เราตกอยู่ในที่นั่งของ "เดอะแบก" โดยไม่รู้ตัวลองมาเช็คลิสต์กันดูว่าเรากำลังเป็น "เดอะแบก" อยู่รึเปล่า ?จริงอยู่ที่การเป็นผู้นำที่ดี ต้องมีความรับผิดชอบสูง ในบทความ 𝐀𝐫𝐞 𝐘𝐨𝐮 𝐓𝐨𝐨 𝐑𝐞𝐬𝐩𝐨𝐧𝐬𝐢𝐛𝐥𝐞 ? จาก Harvard Business Review ได้กล่าวไว้ว่า "การแสดงออกถึงความรับผิดชอบ คือเครื่องมือสำคัญที่บ่งบอกถึงภาวะผู้นำ" แต่ยิ่งเรารับบท "เดอะแบก" มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เรา "หมดไฟ" ในการทำงานเร็วขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญ แต่ละคนมีหน้าที่ และความถนัดที่ต่างกัน ดังนั้นการที่คนหนึ่งมานั่งทำทุกงานทุกหน้าที่ของทุกคน ก็อาจจะได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าเจ้าของหน้าที่นั้นโดยตรง นี่คือสิ่งที่ "องค์กร" หรือ HR ควรมองหาทางแก้ไข ก่อนที่คนในทีมจะหมดไฟไปตาม ๆ กัน จะดีกว่ามั้ยหากเรามีผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการ HR Solutions ครบวงจร เพื่อมาช่วยดูแลในส่วนของ Recruitment นอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา ยังได้ผู้สมัครที่ตรงใจ และเหมาะสมกับองค์กรของคุณอีกด้วย!ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเรา: https://bit.ly/3qP2mou
-
ไอ “มนุษย์เป็ด” อย่างเรา มันก็ทำได้หลายอย่างซะด้วยสิ แต่ไม่สุดซักทาง ทีนี้ก็ลำบากก็ว้าวุ่นเลย...
12 October 2023 ไอเรามันก็ทำได้หลายอย่างซะด้วยสิ แต่ไม่สุดซักทาง ทีนี้ก็ลำบากก็ว้าวุ่นเลย...ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทักษะบางอย่างกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุคคลในการประสบความสำเร็จในที่ทำงาน บุคคลหนึ่งที่รวบรวมทักษะเหล่านี้คือ "มนุษย์เป็ด" หรือ Duck Man ผู้โด่งดัง ซึ่งบางครั้งมักถูกมองว่า เป็นคนครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำอะไรไม่สุดซักทาง ทำให้คนที่เป็นมนุษย์เป็ด ขาดความมั่นใจและแม้ว่าความเป็นมนุษย์เป็ด อาจทำให้เรารู้สึกว่าไปไม่สุดในซักทาง ยิ่งพอเราไปคุยกับคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจริง ๆ เราอาจจะรับรู้ถึงความชัดเจนของคนเหล่านั้น และย้อนกลับมามองตัวเองว่า เราเป็นคนที่ "พอจะทำได้" ไปซะทุกอย่าง ไม่ได้เก่งด้านใดด้านหนึ่งไปเลย แล้วแบบนี้เราจะมีโอกาสเติบโต หรือโดดเด่นบ้างไหม?ใครที่กำลังกังวล เราขอให้คุณไม่ต้องกังวลไปนะคะ จริง ๆ แล้ว เราไม่ใช่ไม่เก่ง หรือค้นหาตัวเองไม่เจอ แต่เป็น "multipotentialite" หรือ "ผู้ที่มีศักยภาพหลากหลาย" ต่างหากค่ะ! ซึ่งในมุมมองของการทำงาน "มนุษย์เป็ด" มีข้อดีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน ถือเป็นยุคของมนุษย์เป็ดเลย เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน mindset ของคนทั่วไปอาจมองว่า เราต้องเก่ง หรือถนัดด้านใดด้านหนึ่งไปเลย ต้องทำงานอยู่ในกรอบขององค์กรใหญ่ ๆ แต่ยุคนี้บริบทของสังคมเริ่มเปลี่ยนไป บริษัทแนวสตาร์ทอัพเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เทรนด์การทำงานแบบฟรีแลนซ์มีให้เห้นมากมาย และฟังก์ชันการทำงานเหล่านี้ล้วนต้องการ "ผู้ที่มีความสามารถหลากหลาย" ดังนั้น ขอให้มุนษย์เป็ดทุกคน เชิดหน้าชูคอเข้าไว้ค่ะ เราไม่ใช่คนเหลาะแหละ อย่างที่ใคร ๆ เขามองกันนะคะ หรือถ้าหากใครที่ยังไม่ค้นพบด้านที่เก่งที่สุดของตัวเอง ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะแค่คุณเป็นตัวเองในทุก ๆ วันก็เก่งมาก ๆ แล้วค่ะ แมนพาวเวอร์เป็นกำลังใจให้คนทำงานทุกท่านเสมอนะคะ ต้องการสมัครงาน คลิกที่นี่ได้เลย! https://bit.ly/3tROE6f
-
ChatGPT จะตอบแบบไหน เมื่อเราถามว่า “ฮีโร่” คืออะไร แล้ว “ฮีโร่ในมุมมองขององค์กร” จะเป็นแบบไหน?
11 October 2023 เมื่อลองถาม ChatGPT เกี่ยวกับคำจำกัดความของคำว่า “ฮีโร่” ว่ามันคืออะไร ก็ได้คำตอบที่ว่า “คำว่า "ฮีโร่" เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลหรือตัวละครที่มีความกล้าหาญ แข็งแกร่ง และมีความคุ้มค่าในการต่อสู้หรือการช่วยเหลือผู้อื่น ฮีโร่อาจเป็นบุคคลจริงหรือตัวละครในนิยาย เรื่องราว หรือภาพยนตร์ ฮีโร่มักจะมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับความชั่วร้ายหรือภัยคุกคามเพื่อความดีและสวัสดิภาพของคนหรือสังคม”กล่าวสั้น ๆ คือ ฮีโร่เป็นบุคคลหรือตัวละครที่มีความกล้าหาญและเป็นแบบอย่างที่ดีในการช่วยเหลือผู้อื่นในสถานการณ์ที่ยากลำบากหรืออันตรายจากข้อความด้านบนนี้ อาจเป็นความหมายของฮีโร่ภายใต้การรับรู้ของคนทั่วไป เพราะฮีโร่มักจะถูกแทนด้วยความแข็งแกร่ง แต่สำหรับในบริบทขององค์กรแล้ว โดยเฉพาะ แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับหนึ่ง คำว่า “ฮีโร่” จึงหมายถึงทุกคนในองค์กรมีความสำคัญ คอยขับเคลื่อนให้องค์กรเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในองค์กร ต่างก็มีบทบาทที่สำคัญและสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้แนวคิดดังกล่าว จะทำให้คนในองค์กรรับรู้ถึงคุณค่าและสิ่งที่ทำในบทบาทของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกภูมิใจในหน้าที่ของตนเองและตัวตนในองค์กรอีกด้วย ซึ่งจะสร้างความกระตือรือร้นในการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยสร้างอัตลักษณ์และบรรยากาศที่เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความร่วมมือและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพดังนั้น องค์กรจึงต้องมีเป้าหมายในการสร้างความภูมิใจและความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับหน้าที่และคุณค่าของแต่ละบุคคลในองค์กร รวมถึงสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนการทำงานเป็นทีม และสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรเติบโตและพัฒนาไปในทิศทางที่ดีไปอย่างมั่นคง