-
สร้างกลยุทธ์ที่เน้น "คน" เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทุ่นแรงด้วย AI
16 July 2024 ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บุกเข้าสู่โลกการทำงาน: เทรนด์สำคัญที่คุณต้องรู้แมนพาวเวอร์กรุ๊ปเผยผลวิจัย ยืนยันกระแสการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในองค์กร ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน บริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกที่มีพนักงานเกิน 5,000 คน มากกว่าครึ่ง (52%) ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้ และคาดการณ์ว่าการใช้ AI จะยิ่งขยายตัว โดยมีบริษัทที่ยังไม่ใช้ AI ถึง 33% วางแผนที่จะนำเครื่องมือ AI มาใช้ภายใน 3 ปีข้างหน้ารายงานฉบับนี้ เน้นเทรนด์สำคัญของ AI ที่ส่งผลต่ออนาคตของการทำงาน ดังนี้:ผลกระทบเชิงบวก: นายจ้างส่วนใหญ่ มองว่า AI จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ รวมถึงการฝึกอบรมพนักงาน การสรรหาบุคลากร การมีส่วนร่วมของพนักงาน และความหลากหลายศักยภาพที่พัฒนาขึ้น: ภายในปี 2030 คาดว่า AI จะพัฒนาจากการใช้งานเฉพาะด้าน ไปสู่ระบบอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น มีความสามารถรับผิดชอบที่หลากหลายการกระจายโอกาส: เครื่องมือ AI ใหม่ ๆ จะช่วยกระจายอำนาจ การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานอย่างเป็นกลาง การพัฒนาทักษะเฉพาะบุคคล และผู้ช่วยอัจฉริยะความคิดเห็นที่หลากหลาย: แม้พนักงานส่วนใหญ่จะตื่นเต้นกับศักยภาพของ AI แต่ระดับความคิดเห็นเชิงบวกอาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและระดับตำแหน่ง โดยพนักงานประจำในยุโรปมีความกังวลมากกว่าอย่างไรก็ตาม องค์กรที่ต้องการนำกลยุทธ์ AI ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องรับมือกับความท้าทายด้านต้นทุน ทักษะของพนักงาน และกฎระเบียบ/ความเป็นส่วนตัว การสร้างแนวทางที่ให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก จะเป็นหัวใจสำคัญในการใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อยกระดับผลผลิตและสร้างมูลค่าทางธุรกิจกรุณากรอกข้อมูลด้านล่าง เพื่อดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม
-
สมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว! ประวัติศาสตร์บทใหม่ของสังคมไทย
18 June 2024 สิ้นสุดการรอคอยกว่า 12 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการเสนอร่างกฎหมายฉบับแรก วันนี้ 18 มิถุนายน 2567 วุฒิสภาไทย มีมติโหวตผ่านร่าง พ.ร.บ. คู่สมรสเท่าเทียม ด้วยคะแนน 130 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง และงดออกเสียง 18 เสียง ส่งผลให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านทั้ง สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาก้าวสำคัญนี้ ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศแรกใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศที่ 38 ของโลก ที่รองรับการสมรสของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) อย่างถูกกฎหมายแมนพาวเวอร์กรุ๊ปขอแสดงความยินดีกับคู่รักชาว LGBTQ+ ทุกท่าน รวมถึง ขอบพระคุณตัวแทนทุกท่าน ที่ช่วยกันผลักดันกฎหมายนี้ให้สำเร็จกฎหมายสมรสเท่าเทียม นี้เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่ สังคมที่เท่าเทียมเปิดโอกาส ให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกกฎหมาย สิทธิ์และความคุ้มครอง เช่นเดียวกับคู่รักชายหญิงเรา แมนพาวเวอร์กรุ๊ปมุ่งมั่นที่จะสนับสนุน ความหลากหลายทางเพศสร้างโอกาส และ ส่งเสริมความเท่าเทียม ในสถานที่ทำงาน เราเชื่อว่า ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าเพศสภาพใดเปิดตัวเอง… เปิดใจ… เปิดพื้นที่ให้ทุกเพศวิถีแสดงออกได้อย่างเท่าเทียม
-
ผลสำรวจ "แนวโน้มการจ้างงาน" ไตรมาสที่ 3/2567
17 June 2024 ภาพรวมการจ้างงานทั่วโลกไตรมาส 3 ปี 2024 ยังทรงตัว แต่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วผลสำรวจดัชนีความต้องการแรงงาน (Net Employment Outlook) ประจำไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 22% เท่ากับไตรมาส 2 ปี 2024 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2023อัตราการรับสมัครแรงงานสูงสุด อยู่ใน อเมริกาเหนือ (27%) ตามมาด้วย เอเชียแปซิฟิก (23%)อเมริกากลางและใต้ (22%) และ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (18%)อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการรับสมัครแรงงานสูง ได้แก่ ไอที (29%) ตามมาด้วย การเงินและอสังหาริมทรัพย์ (27%) และ สาธารณสุขและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (27%)กว่าครึ่ง (55%) ของนายจ้าง คาดว่าจะ เพิ่มจำนวนพนักงาน เนื่องจาก ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ภายในสองปีข้างหน้า เกือบครึ่ง (48%) ของบริษัท ระบุว่า ได้นำ AI มาใช้ รวมถึง ระบบสนทนาโต้ตอบอัตโนมัติ (generative conversational AI)ประเด็นสำคัญดัชนีความต้องการแรงงาน (Net Employment Outlook) ประจำไตรมาส 3 ปี 2024 อยู่ที่ 22% เท่ากับไตรมาส 2 ปี 2024 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2023อัตราการรับสมัครแรงงานสูงสุด อยู่ใน อเมริกาเหนือ (27%) ตามมาด้วย เอเชียแปซิฟิก (23%) อเมริกากลางและใต้ (22%) และ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (18%)อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการรับสมัครแรงงานสูง ได้แก่ ไอที (29%) ตามมาด้วย การเงินและอสังหาริมทรัพย์ (27%) และ สาธารณสุขและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (27%)ในการสำรวจดัชนีความต้องการแรงงาน หรืออัตราแนวโน้มการจ้างงานจากแมนพาวเวอร์กรุ๊ป (ManpowerGroup Employment Outlook Survey) ฉบับล่าสุด มีการสำรวจความคิดเห็นของนายจ้างกว่า 40,374 ราย จาก 42 ประเทศ เกี่ยวกับแผนการรับสมัครแรงงานในไตรมาส 3 รวมถึงการนำ AI มาใช้ และ ความท้าทายที่พบเจอกรอกข้อมูลด้านล่างเพื่อดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มIf you are a human, ignore this field* * * * Full name* * * * E-mail Address* * * * Company Name
-
“แมนพาวเวอร์” พลัสพลังองค์กร ด้วยพลัง “ความหลากหลาย”
5 June 2024 ไม่ใช่แค่กลุ่ม LGBTQ+ เท่านั้น แต่ความหลากหลายในที่นี้มีทั้งอายุ เชื้อชาติ การศึกษา ที่แมนพาวเวอร์ให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมและไม่ยอมทิ้งใครไว้ข้างหลังวันที่ 3 มิถุนายน 2567 คุณวณิชชา วิริยะกิจพัฒนา ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลและการพัฒนาองค์กร แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ผู้นำธุรกิจด้านให้บริการจัดหาคน-จัดหางานระดับโลก ได้ให้เกียรติขึ้นกล่าวในฟอรัมงาน BANGKOK PRIDE FORUM 2024 โดยทาง The Betterได้จัดในฟอรัมที่ชื่อว่า “LGBTQIAN+ เข้าใจพลังของความหลากหลายที่มีในทุกคน” ซึ่งหัวข้อที่คุณวณิชชาได้พูดคือ “พลัสพลังองค์กร ด้วยพลัง LGBTQIAN+” เกี่ยวกับการยอมรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศและเข้าใจตัวตนของพวกเขาจะลบล้างข้อจำกัดที่เกิดจากการเหมารวมลักษณะทางเพศ รวมถึงการขจัดการเหมารวมจะปลดปล่อยให้ทุกคนบรรลุศักยภาพได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากข้อจำกัดอันแบ่งแยกของสังคมโดยคุณวณิชชา ได้เกริ่นให้ทุกคนทำความเข้าใจเกี่ยวกับแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทยว่า “เนื่องจาก แมนพาวเวอร์กรุ๊ป เป็นองค์กรที่จัดหาคนเข้าตลาดแรงงาน ซึ่งในแต่ละปีเราสามารถจัดหาคนเข้าตลาดแรงงานได้กว่า 20,000 คน ดังนั้นเราสามารถพูดได้ว่าตลาดแรงงานวันนี้มีความหลากหลายเยอะขึ้นมาก ความหลากหลายในที่นี้ไม่ได้มีเพียงแค่ทางด้านเพศเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเชื้อชาติ ศาสนา การศึกษาด้วย และยังรวมถึงบุคลิกภาพอีกด้วย”คุณวณิชชา กล่าวต่อว่า “แม้ในปัจจุบันสังคมไทยมีการเปิดรับ และเปิดกว้างมากขึ้นก็จริง แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ที่มาของความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เท่าเทียมมาจากหลายปัจจัยมาก อย่างแรกมาจากบรรทัดฐานของเรา ยกตัวอย่างเช่นเราเรียนรู้และเรารับรู้มาว่าตำแหน่ง หรือหน้าที่นี้จะต้องเป็นคนประเภทไหนเท่านั้นที่จะมาทำงาน ปัจจัยอย่างที่สองเกิดจากอคติ เพราะความเหลื่อมล้ำมีอยู่ทุกภาคส่วน เช่น หากเราอยากได้วิศวกรเราจะคิดถึงผู้ชาย หากอยากได้แนวบริการเราก็อยากได้ผู้หญิง หรือแม้กระทั่งว่าตอนเราไปสัมภาษณ์งาน ถ้าเราแต่งตัวเป็นตัวเองมากเราก็จะถูกตัดสินได้ การอคติบางอย่างมันเกิดขึ้นในตลาดแรงงานไม่ได้แค่ LGBTQIAN+ เท่านั้น“ความเหลื่อมล้ำที่คุณวณิชชากล่าวข้างต้นองค์กรสามารถปรับตัวได้โดยคุณวณิชชาแนะนำว่า "ก่อนที่จะพูดถึงองค์กร ขวัญอยากให้ทุกคนมองมาที่ตัวเองก่อน เริ่มจากตัวเราเองก่อน ตัวเราต้องรับรู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติเกิดขึ้นกับใครก็ได้มันไม่ใช่เรื่องผิดแปลกเลย สิ่งสำคัญคือเราต้องเคารพตัวเอง เคารพสิ่งที่เราเป็น และเราต้องเคารพคนอื่นด้วย ในเมื่อเราอยากใช้สิทธิ์ของเรา เราต้องเคารพสิทธิ์คนอื่น และเมื่อเราเคารพตัวเองแล้วเราต้องมีความมั่นใจในตัวเองด้วยว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม และเมื่อไหร่ไปสู่ความมั่นใจแล้ว เราไม่โอ้อวด แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและถูกกาลเทศะ”คุณวณิชชาแนะนำจะต้องทำอย่างไรให้คนที่มีความหลากหลายได้รับการยอมรับมากขึ้น คุณวณิชชาแนะว่า "ให้มองว่าเราได้รับการยอมรับอยู่แล้วค่ะ แต่สิ่งสำคัญคือเรารับรู้มันอย่างไรโดยเริ่มต้นที่ตัวเรา ต่อมาคือสถาบันครอบครัว หน่วยที่ใกล้ชิดกับบุคคลมากที่สุดต้องเปิดใจและเข้าใจยอมรับกันและกัน ขวัญเองโชคดีนะคะที่ครอบครัวเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นเรา มองสิ่งที่เราเป็น ครอบครัวของแฟนก็เข้าใจเช่นกัน ดังนั้นควรจะคิดว่าปัจจัยที่สองที่สำคัญคือสถาบันครอบครัวที่ทำให้เรายอมรับตัวเองและมีความมั่นใจมากขึ้น""ปัจจัยที่สามปัจจัยขององค์กรเรา ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ในฐานะที่เป็นหัวหน้างาน เราจะต้องมีความเปิดกว้างในเรื่องนี้ดูที่ความสามารถของเขาเรา ไม่ได้ดูที่ว่าคนคนนี้มีพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะก้าวร้าวแบบนี้โตไม่ได้หรอก อันนี้เรียกว่าอคติส่วนบุคคล หากเราจะสนับสนุนเรื่องความเหลื่อมล้ำให้ลดลง ปัจจัยนี้ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ เริ่มจากที่คุณที่เป็นเพื่อนร่วมงานคุณ เหยียดเพศหรือไม่ ถ้าวันนี้จะต้องมีการประเมินผลงาน ในฐานะหัวหน้างานคุณจะประเมินเขาจากผลงานหรือประเมินจากอคติส่วนบุคคล ดังนั้นหัวหน้างานจึงเป็นปัจจัยหลักในการทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในองค์กร" คุณวณิชชากล่าวคุณวณิชชาได้กล่าวถึงในมุมเรื่องการแสดงออก ที่จะต้องมองย้อนกลับไปที่ตัวเราต้องเคารพตัวเอง และที่สำคัญเราต้องเคารพสถานที่ด้วย การแสดงออกของคุณย่อมได้รับการสนับสนุนอยู่แล้ว แต่การแสดงออกของคุณต้องไม่ละเมิดสิทธิคนอื่นต้องมีความเคารพและมีกาลเทศะ มีความเป็นมืออาชีพ ไม่จำเป็นว่าจะต้องแสดงออกทางเรื่องการแต่งกาย แต่การแสดงออกทางด้านความคิดเห็นก็มีผลเช่นเดียวกันแมนพาวเวอร์ เราส่งเสริมให้คนไม่ว่าจะเลเวลอะไร อายุงานเท่าไหร่ เพศอะไร หรือพูดภาษาอะไร เราส่งเสริมให้เขาแสดงความคิดเห็น เพราะการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างและหลากหลายจะทำให้เกิดนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ความคิดใหม่ๆ ส่งเสริมพลังบวกซึ่งกันและกันความมั่นใจมาจากข้างในเราและออกมาที่การแสดงออกของเราไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือที่ความคิดทั้งหมดมันส่งเสริมให้ผลงานของเราโดยรวมดีขึ้น คุณวณิชชายังได้กล่าวถึงการสนับสนุนจากองค์กรที่เป็นเชิงนโยบายว่า "การสนับสนุนขององค์กรคือ สนับสนุนเรื่องพื้นฐาน เช่น นโยบาย ปัจจัยขั้นแรกเวลาเราจะคัดเลือกคนเราไม่ได้เลือกปฏิบัติไม่ได้ดูที่สถาบันการศึกษา หรืออายุ เพศอะไรในฐานะองค์กรจะไม่เลือกปฏิบัติ สองเมื่อเขาเข้ามาแล้วเราก็ไม่เลือกปฏิบัติเราไม่ละเลยทุกๆ คน อย่างเช่นในแมนพาวเวอร์เมื่อเข้ามาปฐมนิเทศแล้ว การปฐมนิเทศจะมีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ แม้ในรอบนั้นจะมีคนต่างชาติแค่คนเดียว ต้อนรับทุกคนอย่างอบอุ่น บ่มเพาะให้วัฒนธรรมองค์กร“"นโยบายด้านสวัสดิการ เรามีประกันกลุ่ม เมื่อก่อนหากเราต้องทำประกันให้กับคู่ของเราที่เป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่องค์กรของเราสามารถขับเคลื่อนให้เกิดความเท่าเทียมกันตรงนี้ได้ โดยที่เราคุยกับบริษัทประกันว่าเราสามารถการันตีได้ว่าพนักงานคนนี้และคู่ของเขาเป็นคู่กันจริงๆ เป็นสิ่งที่ของเราเราช่วยผลักดันกันตรงนี้ได้เช่นกัน” คุณวณิชชากล่าวเมื่อมีการผลักดันทั้งเรื่องของกฎหมาย ผลักดันในด้านของสังคม มีนโยบายการต่อต้านความไม่เป็นธรรม ภาคเอกชนเราทำอย่างไรกับพนักงานเราได้บ้างเรามีช่องทาง ที่จะให้รายงานความไม่เป็นธรรมที่ส่วนกลางได้พนักงานทุกคนสามารถรายงาน เหตุการณ์ที่ไม่เป็นธรรมได้ทั้งผู้ที่ถูกกระทำและผู้ที่ถูกกระทำหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์นั่นเองสามารถรายงานความเหลื่อมล้ำเพื่อให้ทางบริษัทแม่เข้ามาตรวจสอบได้ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันคุณวณิชชากล่าวถึงความหลากหลายมีส่วนสำคัญต่อองค์กร “ในความเป็นจริงแล้วทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างแน่นอน พวกเราทุกคนเปรียบเสมือนเป็นมดที่ต้องช่วยกัน เหรียญมีสองด้านถ้าเรามองด้านหน้าแสดงว่ามันมีแต่หนึ่งเช่นกันนั่นหมายความว่าในกลุ่มหนึ่งมีคนที่หลากหลายกัน เมื่อเราประชุมแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่สนใจความคิดของคนกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มของเรา เราตัดความคิดนั้นทิ้งแทนที่จะได้ความคิดเห็น 10 คนคิดคุณได้แค่ความคิดของกลุ่มคุณเอง แทนที่จะได้ต่อยอดสิ่งใหม่อีก 10 ไอเดีย เราก็ได้แค่ไม่กี่ไอเดียเราไม่สามารถนำไปพัฒนาอะไรใหม่ใหม่ได้มากกว่าเดิม”“องค์กรที่ยังมีความเหลื่อมล้ำ หากเป็นตัวขวัญเองที่ต้องอยู่ในองค์กรดังกล่าวคงจะอยู่ไม่ได้ เมื่อเรามีความกังวล มีความไม่สบายใจ ประสิทภาพการทำงานก็ย่อมไม่ดี แน่นอนว่าจำเป็นต้องออกจากองค์กรนั้นๆ ออกไปเจริญเติบโตที่อื่น ทั้งที่จริงเราอาจจะมีประโยชน์ต่อองค์กรนั้นก็ได้ เราชาว LGBTQ+ เรามีคุณค่าในตัวเอง เรารู้ความสามารถของเราเอง หากองค์กรมีความเหลื่อมล้ำก็จะเสียเราไป เพราะทุกคนในองค์กรมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด ขอเพียงแค่คุณเคารพตัวเอง เคารพผู้อื่นและมีความมั่นใจในการแสดงออกในความคิดเห็นของคุณ แมนพาวเวอร์ มีมุม career counseling เพื่อปรึกษาอาชีพการงาน ถามเรื่องอื่นๆ ในชีวิต รับฟังคนทุกคน มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนบริษัทควบคุมคนหลากหลายมาแลกเปลี่ยนความคิดกันสักเดือนละครั้ง“เมื่อพูดถึงการรับสมัครงานในปัจจุบันคุณวณิชชาได้กล่าวว่า "ปัจจุบันในการสมัครงานเราก็ไม่ได้ระบุเพศ อายุ เราจะจะเขียนว่าเพศไม่จำกัด อายุไม่จำกัด การศึกษา เวลาสัมภาษณ์ขอให้เป็นตัวของเราเอง แสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ให้เป็นตัวเราจริงๆ ไม่ใช่ตัวเราอย่างที่คนอื่นให้เป็น ไม่ต้องแสดงความมั่นใจจนเกินไปเพราะบางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น เราแสดงในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ และเราเคารพตัวเอง เขาถามหาสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จในอดีตส่วนบุคลิกต่างๆ ที่มันไม่เข้ากันเราสามารถที่จะปรับจูนกันได้" คุณวณิชชากล่าวปิดท้ายว่า ”สุดท้ายนี้ที่ขวัญอยากจะฝากคือ เคารพกันและกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถัดมาคืออย่าพึ่งท้อแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเราให้เกียรติเขาไปแล้วแต่ไม่เห็นมีใครจะให้เกียรติเรากลับเลย เราก็อย่าพึ่งท้อใจ สังคมเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น คนเริ่มทำความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เราจำเป็นจะต้องให้เกียรติคนอื่นเหมือนที่เราเคยให้เกียรติมา เราควรเปิดใจและให้โอกาสกับตัวเองกล้าเป็นตัวเอง กล้าที่จะให้กำลังใจตัวเองในการที่จะเดินไปในชีวิตของตัวเอง”Credit: The Better News
-
ระวัง! พนักงานลาออกบ่อย เสี่ยงทำองค์กรเดินถอยหลัง มีสาเหตุมาจากอะไร แก้อย่างไรได้บ้าง?
9 May 2024 “พนักงานลาออก” ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกองค์กร ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในหน้าที่การงานใหม่ ปัญหาสุขภาพส่วนตัว และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่หากมีพนักงานลาออกบ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าขององค์กร หรือผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องพิจารณาหาสาเหตุ เพราะการที่พนักงานลาออกบ่อย สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาบางอย่างภายในองค์กร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อองค์กรได้ในระยะยาวในบทความนี้ Manpower จะพามาทำความเข้าใจผลกระทบของการที่พนักงานลาออกบ่อย พร้อมสาเหตุและแนวทางการแก้ปัญหาผลกระทบจากการที่พนักงานลาออกบ่อยการที่พนักงานลาออกบ่อย หรือลาออกพร้อมกันเป็นจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อองค์กรในด้านต่าง ๆ ดังนี้1.ผลลัพธ์และคุณภาพของงานลดลงเมื่อพนักงานลาออกบ่อย การส่งต่อความรับผิดชอบ และรายละเอียดของงานจะมีประสิทธิภาพลดลง ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ และคุณภาพของงานลดลงตามไปด้วย ส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้า รวมถึงสะท้อนภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในด้านลบขององค์กร2.ส่งผลถึงผลประกอบการขององค์กรลูกค้ามีแนวโน้มสูงที่จะยกเลิก หรือปฏิเสธการต่อสัญญา หากลูกค้ารู้สึกไม่ประทับใจต่อผลลัพธ์ และคุณภาพงานขององค์กร ซึ่งทำรายได้ขององค์กรลดลงตามไปด้วย3.มีต้นทุนมากขึ้นในการสรรหาพนักงานใหม่การสรรหาพนักงานหาคนทำงานว่าจ้าง และอบรมพนักงานใหม่มีต้นทุนที่องค์กรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นค่าลงโฆษณาในเว็บไซต์หางาน ค่าใช้จ่ายในการสอบหรือประเมิน (บางกรณี) และค่าจัดฝึกอบรมพนักงานใหม่ เป็นต้นหากพนักงานยังลาออกบ่อยอยู่เรื่อย ๆ ท้ายที่สุดจะกระทบต่อผลประกอบการ และสุขภาพทางการเงินขององค์กรในระยะยาวสาเหตุที่พนักงานลาออกบ่อย มีอะไรบ้างการที่พนักงานลาออกบ่อยสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย คือ1.หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน Toxicหากหัวหน้า และเพื่อนร่วมงานบางคนมีพฤติกรรมในแง่ลบอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความเครียด และปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานคนอื่น ๆ ในองค์กร อาทิ หัวหน้าใช้อารมณ์ในการสื่อสาร เพื่อนร่วมงานไม่ช่วยทำงาน การนินทา การพูดจาเสียดสี และอื่น ๆ ซึ่งพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมเหล่านี้มักตัดสินใจลาออกในท้ายที่สุด2.พนักงานรู้สึกไม่มีคุณค่าต่อองค์กรพนักงานหลายคนมักประสบกับความรู้สึกไม่มีคุณค่าต่อองค์กร โดยเฉพาะในกรณีที่พนักงานตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ แต่ไม่เคยได้รับรางวัล การปรับขึ้นเงินเดือน หรือแม้กระทั่งคำชม3.วัฒนธรรมองค์กรไม่ตอบโจทย์วัฒนธรรมองค์กรหลายรูปแบบส่งผลกระทบต่อพนักงานในด้านลบ อาทิ วัฒนธรรมองค์กรแบบครอบครัวที่มุ่งเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน วัฒนธรรมอาวุโสที่เน้นการเคารพบุคคลจากอายุ และวัฒนธรรมการใช้เส้นสายที่เน้นการเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอำนาจ4.พนักงานรู้สึกขาดที่พึ่งพิงการที่พนักงานรู้สึกขาดที่พึ่งพิงมักมีสาเหตุมาจากหัวหน้างาน หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลไม่สามารถสอน ให้คำปรึกษา หรือแนะนำแนวทางในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ส่งผลให้พนักงานไม่สามารถแก้ปัญหาในการทำงาน บริหารความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และจัดการความเครียดของตนเองได้สาเหตุเหล่านี้มักส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึก และความเครียดของพนักงาน ซึ่งสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร่างกายได้ในที่สุด พนักงานหลายคนจึงเลือกแก้ปัญหาด้วยการลาออก โดยเฉพาะพนักงานที่มีความสามารถสูง เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการในตลาดแรงงานสูงแนวทางการแก้ปัญหาพนักงานลาออกบ่อยอย่างไรก็ตาม ปัญหาพนักงานลาออกบ่อยเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ โดยวิธีแก้ปัญหาพนักงานลาออกบ่อย ได้แก่1.ปรับปรุงการบริหารงานของแต่ละแผนกอย่างเหมาะสมเจ้าขององค์กร หรือผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องสำรวจการบริหารงานของแต่ละแผนก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนงานที่พนักงานแต่ละคนได้รับมอบหมาย และความยาก-ง่ายของงานนั้น ๆ โดยควรแนะนำ หรือกำหนดนโยบายให้หัวหน้าแผนกจัดสรรความรับผิดชอบของพนักงานแต่ละคนอย่างเหมาะสม2.ส่งเสริมการเรียนรู้ และการเติบโตในสายอาชีพองค์กรยุคใหม่หลายแห่งมีนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ และการเติบโตในสายอาชีพให้กับพนักงาน เพื่อสะท้อนว่า องค์กรให้ความสำคัญกับพนักงาน อาทิ สวัสดิการหนังสือฟรีเดือนละ 1 เล่ม การจัดอบรมเฉพาะด้าน และการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง หรือเลื่อนขั้นตามความสามารถ3.เติมเต็มความเชื่อมั่น และพลังใจให้พนักงานองค์กรสามารถเติมเต็มความเชื่อมั่น และพลังใจให้พนักงานได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลงมือแก้ปัญหาภายในอย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั่งการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส4.พูดคุย และให้คำแนะนำกับพนักงานอย่างเหมาะสมความเครียดจากการทำงานเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกินขึ้นได้ โดยการพูดคุย และให้คำแนะนำกับพนักงานอย่างเหมาะสมจะช่วยให้พนักงานจัดการความเครียดได้ดีขึ้น และลดโอกาสเกิดความรู้สึกไร้ที่พึ่งพิงในหมู่พนักงาน5.ปรับปรุงคุณภาพการสรรหาบุคลากรกระบวนการสรรหาบุคลากรที่ไม่มีคุณภาพสามารถส่งผลกระทบให้พนักงานลาออกบ่อยได้เช่นกัน โดยการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพควรคำนึงถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของผู้สมัครอย่างรอบด้าน ทั้งความสามารถในการทำงาน ทัศนคติ และแนวคิดที่สอดคล้องกับองค์กร เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน และไม่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานในด้านลบอย่างไรก็ตาม การสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพถือเป็นเรื่องท้าทายของหลายองค์กร โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็กที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลมืออาชีพ เจ้าขององค์กร หรือผู้บริหารมักทำการสรรหาบุคลากรด้วยตนเอง ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการใช้บริการสรรหาบุคลากรจากบริษัท HRที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันปัญหาพนักงานลาออกบ่อยตั้งแต่เนิ่นๆแนะนำบริการสรรหาบุคลากรทุกระดับจาก Manpowerบริการสรรหาพนักงานประจำทุกระดับจาก Manpower ตอบโจทย์การสรรหาพนักงานประจำในทุกระดับ รวมถึงบริการ HR แบบครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันติดต่อเราLINE OA: @manpowergroup_thCall Center: 02-171-2345E-mail: [email protected]
-
Burnout Syndrome คืออะไร? ภาวะหมดไฟในการทำงาน มีสาเหตุและวิธีแก้อย่างไรบ้าง
9 May 2024 หนึ่งในความท้าทายที่องค์กรยุคใหม่ทั่วโลกกำลังเผชิญ คือ Burnout Syndrome หรือภาวะหมดไฟในการทำงานของพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรในหลายด้าน ในบทความนี้ Manpower จะพาไปเจาะลึกเกี่ยวกับภาวะ Burnout พร้อมแนะนำแนวทางสำหรับองค์กร เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดภาวะ Burnout ของพนักงานBurnout คืออะไร?Burnout คือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือหมดไฟในการใช้ชีวิต ซึ่งแม้ภาวะนี้จะไม่ถือเป็นโรค แต่เป็นกลุ่มอาการที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายได้ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้บัญญัติเอาไว้ว่า เบิร์นเอ้าท์ คือ กลุ่มอาการเหนื่อยหน่ายทางจิตใจ อันมีผลมาจากความเครียดในที่ทำงานที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมสาเหตุของภาวะหมดไฟในการทำงานหรือ Burnoutโดยสาเหตุหลักที่พบว่า ทำให้เกิดภาวะ Burnout ได้แก่1.ปริมาณงานที่มากเกินไปอย่างไม่สมเหตุสมผลพนักงานถูกมอบหมายให้ทำงานเพิ่มเติม ส่งผลให้ปริมาณงานมากเกินไป และไม่สามารถจัดการงานได้ทันกำหนด 2.วัฒนธรรมองค์กรไม่เป็นมิตรพนักงานได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เป็นมิตร ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดเพศ นินทา การเมือง และการบูลลี่3.ขาดการสนับสนุนจากหัวหน้างานพนักงานไม่ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้างานอย่างเหมาะสม ทำให้รู้สึกขาดที่ปรึกษาและพึ่งพิง4.การบริหารงานแบบ Micro ManagementMicro Management คือ การบริหารงานที่มุ่งเน้นไปที่การควบคุม หรือการดูแลรายละเอียดของงานอย่างมากจนเกินไป จนทำให้พนักงานรู้สึกไม่ได้รับความไว้วางใจ หรือเกิดความไม่มั่นใจในตนเอง5.เงินเดือน หรือผลตอบแทนที่ไม่ยุติธรรมเงินเดือน หรือผลตอบแทนที่ไม่ยุติธรรมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกไร้คุณค่าในที่ทำงาน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานที่ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลัง ทั้งงานหลักและงานที่ได้รับมอบหมายเพิ่มเติมสาเหตุทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ภาวะ Burnout จะเกิดขึ้นที่ตัวพนักงาน แต่องค์กรมีบทบาทสำคัญที่ช่วยป้องกัน และลดโอกาสเกิดภาวะ Burnout ของพนักงานได้ผลกระทบของภาวะ Burnout ต่อพนักงานภาวะ Burnout ส่งผลกระทบต่อพนักงานโดยตรง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ยกตัวอย่างผลกระทบ ดังนี้1.ความรู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอาการอ่อนเพลีย ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน หมดกำลังใจ ไปจนถึงความรู้สึกด้านลบต่อตนเองและผู้อื่น โดยอาจนำไปสู่ปัญหาด้านพฤติกรรมและสุขภาพจิตได้ในระยะยาว2.ปัญหาด้านการนอนหลับ และรับประทานอาหารโดยภาวะ Burnout มักก่อให้เกิดปัญหาด้านการนอนหลับและการรับประทานอาหาร ซึ่งอาจทำให้นอนหลับมากหรือน้อยเกินไป และรับประทานอาหารมากหรือน้อยเกินไป อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการใช้สารเสพติดอย่างบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอื่น ๆ3.ปัญหาด้านสุขภาพ ภาวะ Burnout ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันต่ำลง ปวดกล้ามเนื้อ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และอื่น ๆโดยการศึกษาของThe Business Journalพบว่า พนักงานกว่า 1 ใน 3 ตัดสินใจลาออก เนื่องจากประสบกับภาวะ Burnoutผลกระทบของภาวะ Burnout ต่อองค์กรเมื่อพนักงานเกิดภาวะ Burnout สามารถส่งผลกระทบต่อองค์กรได้ในหลายมิติ ยกตัวอย่างผลกระทบ ดังนี้1.รายได้ลดลงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานที่ลดลงจะส่งผลให้คุณภาพของงานลดลงตามไปด้วย โดยอาจทำให้ลูกค้ายกเลิกสัญญา และรายได้ลดลง2.สูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถบุคลากรที่มีความสามารถมักมองหาองค์กรที่สามารถตอบโจทย์ตนเองได้ ทั้งด้านการเติบโตในหน้าที่การงาน สุขภาพร่างกายและจิตใจ ดังนั้นบุคลากรกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มลาออกสูงเมื่อประสบกับภาวะ Burnout ส่งผลให้องค์กรสูญเสียบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร3.งบประมาณเพิ่มขึ้น ในกรณีที่พนักงานลาออกเป็นจำนวนมาก หรือความถี่ในการลาออกสูง องค์กรมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพิ่ม ทั้งในกระบวนการสรรหา เทรนนิ่ง และการเสนอฐานเงินเดือนที่สูงขึ้นนอกจากนี้ องค์กรยังได้รับผลกระทบอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบในระยะสั้นและระยะยาว อาทิ การสูญเสียภาพลักษณ์ในมุมมองของลูกค้า ชื่อเสียงที่ไม่ดึงดูดบุคลากรคุณภาพ และประสิทธิภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งที่ลดลงวิธีแก้ Burnout Syndrome มีอะไรบ้างแล้ว Burnout แก้ยังไงได้บ้าง? โดยองค์กรสามารถลดกระทบจากพนักงาน Burnout ได้ ด้วยการป้องกันโอกาสเกิดภาวะ Burnout ตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนี้1.การจัดการปริมาณ และความยาก-ง่ายของงานอย่างเหมาะสมวิธีการนี้จะช่วยไม่ให้พนักงานคนใดคนหนึ่งทำงานมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดการงาน และมุมมองต่อคุณค่าของตนเอง2.ปรับปรุงคุณภาพการบริหารงานของหัวหน้าทีม หรือหัวหน้าแผนกการบริหารงานอย่างมีคุณภาพจะช่วยให้สมาชิกในทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้เกิดสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง 3.สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตร พื้นที่การทำงานควรปราศจากการบูลลี่ พูดจาเสียดสี เหยียดเพศ และพฤติกรรมอื่นๆ ที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสม เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่า ความคิดเห็นของตนเองมีคุณค่าและถูกรับฟัง4.กำหนดนโยบายเพิ่มเงินเดือน หรือรางวัลตอบแทนที่เหมาะสมและยุติธรรมนโยบายที่ชัดเจนและยุติธรรมจะช่วยให้พนักงานรู้สึกว่า ความทุ่มเทในหน้าที่การงานถูกมองเห็น และมีคุณค่า5.ส่งเสริมนโยบายด้านสุขภาพ สุขภาพที่แข็งแรงช่วยลดโอกาสเกิดภาวะ Burnout ได้ นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมสุขภาพขององค์กร เช่น ส่วนลดฟิตเนส อาหารกลางวันเพื่อสุขภาพ และอื่นๆ ยังชี้ให้พนักงานเห็นถึงความใส่ใจ และคุณภาพชีวิตที่ดีกุญแจสำคัญที่ช่วยให้พนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดี คือ การบริหารองค์กรอย่างมีคุณภาพ โดยถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะ Burnout ของพนักงาน และเป็นผลดีต่อองค์กรในระยะยาว ดังนั้นเจ้าขององค์กรหลายคนจึงเลือกว่าจ้างผู้บริหาร แทนการบริหารองค์กรด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม การสรรหาผู้บริหารที่มีความสามารถอย่างแท้จริงเป็นเรื่องท้าทาย เพราะต้องมีทั้งองค์ความรู้และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล โดยควรเลือกสรรหาพนักงานระดับผู้บริหารผ่านเว็บไซต์หางานหรือบริษัท HRที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างองค์กรที่เติบโตอย่างแข็งแรงแนะนำบริการสรรหาพนักงานระดับผู้บริหารจาก ManpowerบริการสรรหาพนักงานประจำทุกระดับจากManpowerตอบโจทย์การสรรหาพนักงานประจำในทุกระดับ รวมถึงบริการ HR แบบครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันติดต่อเราLINE OA: @manpowergroup_thCall Center: 02-171-2345E-mail: [email protected]
-
Game to Work: เล่นเกมส์ไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระเสมอไป! เจาะลึกรายงานจาก ManpowerGroup ว่าทักษะใดจากเกมเมอร์ที่สามารถมีส่วนพัฒนาองค์กรได้
19 April 2024 ในรายงาน Global Insights ของ ManpowerGroup พบว่าการเล่นเกมกําลังพลิกโฉมอนาคตของการทํางานอย่างไร Gamification (การใช้เกมและองค์ประกอบของเกม เช่นการตั้งเป้าหมาย การแข่งขัน และการให้รางวัล เพื่อกระตุ้นและสร้างความสนใจในการเรียนรู้) ถือเป็นหนึ่งในสไตล์การทำงานที่หลายองค์กรเริ่มนำมาปรับใช้กับวัฒนธรรมของตัวเอง เพื่อสร้างบรรยากาศความสนุกสนาน พลิกโฉมการทำงานและพัฒนาองค์กรแบบเดิมให้ไม่จำเจอีกต่อไป ค้นพบเทคโนโลยีสําคัญที่พร้อมจะปฏิวัติอุตสาหกรรมทําความเข้าใจผลกระทบต่อการปฏิบัติงานและคาดการณ์อิทธิพลที่มีต่อพนักงานทั่วโลก ด้วยอุตสาหกรรมเกมที่เป็นผู้นําด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี องค์กรต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากขอบเขตนี้เพื่อระบุและบ่มเพโลยีที่จําเป็นซึ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลท่ามกลางการขาดแคลนผู้มีความสามารถ แมนพาวเวอร์กรุ๊ปกําลังเจาะชุมชนเกมเพื่อค้นหากลุ่มผู้มีความสามารถจํานวนมากด้วยการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ของความสามารถด้านดิจิทัลและทักษะด้านอารมณ์ที่องค์กรต้องการมากที่สุดคลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม
-
ไขข้อสงสัย! HR คืออะไร และ HR มีหน้าที่อะไรบ้าง ?
5 April 2024 เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) หรือ HR คือ ตำแหน่งภายในองค์กรที่มีความสำคัญต่อทั้งพนักงานและการเติบโตขององค์กร ในบทความนี้ Manpower จะพาไปทำความรู้จักกับหน้าที่และคุณสมบัติของ HR ที่ดี ซึ่งช่วยเสริมโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรให้มีความแข็งแรง HR มีกี่ประเภท? HR คือ ตำแหน่งงานที่รู้จักกันในชื่อฝ่ายบุคคล โดยบริษัทขนาดกลาง-ใหญ่มักจะมีการแบ่ง HR ออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ 1.HRM (Human Resources Management) HRM หรือการบริหารทรัพยากรบุคคล ยกตัวอย่างหน้าที่ของ HRM ดังนี้ กระบวนการสรรหาบุคลากร หรือการหาคนทำงาน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การวางแผน สรรหาผู้สมัครจากเว็บไซต์หางานต่าง ๆ บรรจุ และแต่งตั้งบุคคลเข้าทำงานในองค์กร กำหนดกลยุทธ์ของการบริหารทรัพยากรบุคคล รวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กร ดำเนินเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ และผลประโยชน์ต่าง ๆ ขององค์กร 2.HRD (Human Resources Development) HRD หรือการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ยกตัวอย่างหน้าที่ของ HRD ดังนี้ ออกแบบกระบวนการฝึกสำหรับพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความรู้เพิ่มเติมในสายอาชีพ พัฒนาบุคลากรให้มีคุณธรรมและจริยธรรมที่ดีงาม พัฒนาบุคลากรให้มีความรักและผูกพันในองค์กร สำหรับบริษัทขนาดเล็กอาจไม่จำเป็นต้องแบ่งความรับผิดชอบของ HR เป็น 2 ฝ่าย เพราะการว่าจ้าง HR จำนวน 1 คน มีความเหมาะสมต่อบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 1-50 คน ซึ่ง HR สามารถดูแลทั้งการบริหารทรัพยากรบุคคลและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้อย่างครอบคลุม HR มีหน้าที่อะไรบ้าง? บทบาทและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของ HR สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1.การสรรหาและคัดเลือกทรัพยากรบุคคล (Recruitment and Selection) หัวใจของ HR คือ การสรรหาทรัพยากรและจัดการแรงงาน โดยการสรรหาบุคลากรที่มีศักยภาพ และทัศนคติสอดคล้องกับองค์กร คือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรเติบโตไปสู่เป้าหมาย นอกจากนี้ HR ยังรับผิดชอบในการประเมินพฤติกรรมของบุคลากรด้วย หากบุคลากรมีการฝ่าฝืนกฎระเบียบของบริษัท หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม HR จะทำหน้าที่ในการยื่นจดหมายเตือน ไปจนถึงบทลงโทษที่หนักกว่า 2.การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ (Salary and Benefits) HR มีบทบาทสำคัญในการบริหารค่าตอบแทน หรือเงินเดือนให้สอดคล้องกับคุณสมบัติ ความสามารถ และตำแหน่งงานของบุคลากร รวมถึงการจัดหาสวัสดิการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีสวัสดิการอื่น ๆ เพื่อเสริมคุณภาพความเป็นอยู่ของบุคลากร ทำให้องค์กรสามารถรักษาบุคลากรคุณภาพเอาไว้ได้ 3.การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร หรือพัฒนาองค์กร (Human Resource Development / Organization Development) อีกหนึ่งบทบาทของ HR คือ การพัฒนาบุคลากร หรือการพัฒนาองค์กร ผ่านโปรแกรมฝึกอบรมต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้บุคลากรมีองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่ทันสมัย ซึ่งสามารถนำมาประกอบการทำงานได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อองค์กร นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับทักษะทางสังคม (Soft Skills) อาทิ ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) และทักษะการคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking) เป็นต้น 4.พนักงานสัมพันธ์ (Employee Engagement) การรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพเอาไว้ได้ในปัจจุบันต้องอาศัยบทบาทของ HR ในด้านพนักงานสัมพันธ์ เพื่อให้บุคลากรทำงานภายใต้องค์กรอย่างมีความสุข เช่น การจัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างบุคลากร แก้ไขข้อพิพาทระหว่างบุคลากร ไปจนถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง โดยหน้าที่ของ HR ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเติบโตไปสู่เป้าหมายได้อย่างราบรื่น พร้อมการขับเคลื่อนด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความสุข คุณสมบัติของ HR ในการทำหน้าที่ให้ลุล่วงสมบูรณ์ HR จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.มนุษยสัมพันธ์ดี HR จะต้องมีมนุษยสัมพันธ์อันดี สามารถเข้ากับบุคลากรทุกคนได้ง่าย ทำให้มองเห็นภาพรวมของบุคลากรได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำหน้าที่ต่าง ๆ ของ HR 2.มีความรู้ด้านจิตวิทยา หน้าที่ของ HR ครอบคลุมตั้งแต่การสรรหาและคัดเลือกบุคลากรเข้ามาในองค์กร ตลอดจนการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างบุคลากร ดังนั้น HR จึงควรมีองค์ความรู้พื้นฐานด้านจิตวิทยา สามารถสังเกตทัศนคติของบุคลากรได้ผ่านการแสดงออกทางพฤติกรรมและคำพูด รวมถึงสามารถเลือกใช้คำพูด หรือสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เพื่อแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.มีความซื่อตรง การทำหน้าที่ HR ต้องอาศัยความซื่อตรง ไม่เอนเอียง หรือยึดอคติของตนเป็นหลัก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพ การรับฟังปัญหาในการทำงานของบุคลากร และอื่น ๆ 4.ทัศนคติที่พร้อมเติบโต (Growth Mindset) ทัศนคติที่พร้อมเติบโต หรือ Growth Mindset คือ การเชื่อว่าตนเองและบุคคลอื่นสามารถพัฒนาและเติบโตได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญต่อการสังเกตพฤติกรรมบุคลากร คุณภาพการทำงาน ตลอดจนการออกแบบโปรแกรมฝึกอบรม และสวัสดิการเพิ่มเติมที่ส่งเสริมให้บุคลากรได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง 5.มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน HR ควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน เพื่อมอบสิทธิแรงงานที่เป็นธรรมให้กับบุคลากร พร้อมกับไม่ทำให้องค์กรสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดข้อกำหนดด้านกฎหมายแรงงาน โดยคุณสมบัติทั้ง 5 ข้อ เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของ HR ที่ดี ซึ่งการว่าจ้าง HR ในปัจจุบันมีฐานเงินเดือนเริ่มต้นที่ 25,000 - 30,000 บาท และสามารถเพิ่มไปถึง 300,000 ในระดับอาวุโส แม้การว่าจ้าง HR คือ พื้นฐานที่สำคัญต่อองค์กรทุกขนาด แต่สำหรับองค์กรขนาดเล็กที่ยังมีงบประมาณไม่มากนัก การว่าจ้าง HR ประจำอาจทำให้สภาพคล่องทางการเงินขององค์กรลดลง ดังนั้นหลายองค์กรในปัจจุบันจึงหันมาใช้บริการจากบริษัท HR แบบครบวงจรที่สามารถประหยัดงบประมาณในระยะยาวได้มากกว่า แนะนำบริการสรรหาพนักงานประจำทุกระดับจาก Manpower บริการสรรหาพนักงานประจำทุกระดับจาก Manpower ตอบโจทย์การสรรหาพนักงานประจำในทุกระดับ รวมถึงบริการ HR แบบครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกัน ติดต่อเรา LINE OA: @manpowergroup_th Call Center: 02-171-2345 E-mail: [email protected]
-
ไขข้อสงสัย ลดหย่อนภาษี คืออะไร พร้อมสรุป 5 แนวทางลดหย่อนภาษี
20 March 2024 การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ของพลเมืองไทย ซึ่งเป็นผู้มีรายได้สุทธิตลอดทั้งปีตั้งแต่ 150,000 บาท ขึ้นไป โดยอัตราภาษีที่ต้องชำระจะขึ้นอยู่กับยอดสุทธิของเงินได้ทั้งหมด หลังหักรายจ่ายตลอดทั้งปี ทั้งนี้ กรมสรรพากรมีข้อกำหนดสำหรับการลดหย่อนภาษีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนชำระภาษีได้ถูกลง เพื่อให้สามารถนำเงินส่วนต่างไปเก็บออม หรือต่อยอดทางธุรกิจเพิ่มเติม ในบทความนี้ Manpower จะไขข้อสงสัยว่า การลดหย่อนภาษี คืออะไร การลดหย่อนภาษี มีอะไรบ้าง และการลดหย่อนภาษีต้องทำยังไง พร้อมสรุปวิธีคำนวณภาษีที่ต้องชำระสำหรับวัยทำงานและ 5 แนวทางลดหย่อนภาษีประจำรอบปี 2566 สรุปวิธีคำนวณภาษีวิธีคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา คือ “รายได้ต่อปี - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ” หลังจากนั้นให้นำ “เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย” โดยอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินได้สุทธิ ดังนี้ผู้มีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ได้รับการยกเว้นภาษีผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,001-300,000 บาทต่อปี อัตราภาษีอยู่ที่ 5%ผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 300,001-500,000 บาทต่อปี อัตราภาษีอยู่ที่ 10%ผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 500,01-750,000 บาทต่อปี อัตราภาษีอยู่ที่ 15%ผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 750,001-1,000,000 บาทต่อปี อัตราภาษีอยู่ที่ 20%ผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 1,000,001-2,000,000 บาทต่อปี อัตราภาษีอยู่ที่ 25%ผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 2,000,001-5,000,000 บาทต่อปี อัตราภาษีอยู่ที่ 30%ผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 5,000,001 บาทต่อปี ขึ้นไป อัตราภาษีอยู่ที่ 35%ยกตัวอย่างนาย A มีรายได้ต่อปีจำนวน 500,000 บาท - ค่าใช้จ่ายจำนวน 250,000 บาท - ค่าลดหย่อนส่วนตัวจำนวน 60,000 บาท (กรณีไม่มีค่าลดหย่อนอื่น ๆ ) = เงินได้สุทธิจำนวน 190,000 บาท ซึ่งเข้าข่ายอัตราภาษีที่ 10% ดังนั้นเงินภาษีที่นาย A ต้องจ่าย คือ 19,000 บาทรวม 5 แนวทางลดหย่อนภาษีจากวิธีการคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาจะเห็นได้ว่า ค่าลดหย่อนเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้อัตราภาษีถูกลง โดย 5 วิธีลดหย่อนภาษี บุคคลธรรมดา ได้แก่ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัวค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาทค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท สำหรับกรณีที่คู่สมรสไม่มีไม่มีเงินได้และจะต้องมีการจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ไม่เกินครรภ์ละ 60,000 บาทค่าลดหย่อนภาษีกฎหมายและบุตรบุญธรรม คนละ 30,000 บาทค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส คนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน รวมไม่เกิน 120,000 บาทค่าลดหย่อนกรณีอุปการะผู้พิการ หรือบุคคลทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาทค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุนเงินประกันสังคม ไม่เกิน 6,300ประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาทประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทประกันชีวิตแบบบำนาญที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาคเงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษีเงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษีเงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทค่าลดหย่อนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือดอกเบี้ยที่จ่ายเพื่อซื้อบ้าน ซื้อคอนโด สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาทค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ถ้าปีนั้นๆมีโครงการโครงการ "ช้อปดีมีคืน" สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 30,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าและบริการในประเทศ ตามช่วงเวลาที่โครงการกำหนดไว้ โดยสินค้าที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ได้แก่ สินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), สินค้า OTOP และ สินค้าหมวดหนังสือและ E-Bookยกตัวอย่างนาย B มีรายได้เท่ากับนาย A ที่กล่าวถึงในตอนต้น คือ 500,000 บาทต่อปี และมีรายจ่ายเท่ากันเป็นจำนวน 250,000 บาท แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา นาย B ได้ซื้อประกันชีวิตที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปี ขึ้นไป ซึ่งสามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท ดังนั้นเงินได้สุทธิของนาย B จะเท่ากับรายได้ต่อปีจำนวน 500,000 บาท - ค่าใช้จ่ายจำนวน 250,000 บาท - ค่าลดหย่อน 160,000 บาท (ค่าลดหย่อนส่วนตัวรวมกับค่าลดหย่อนประกันชีวิต) = 90,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ 150,000 บาท ส่งผลให้นาย B ได้รับการยกเว้นภาษี ทั้งนี้ นาย B จำเป็นจะต้องยื่นภาษีพร้อมกับหลักฐานการซื้อประกันชีวิต เพื่อให้ได้รับสิทธิดังกล่าวส่วนกรณีที่มีการเสียภาษี ณ ที่จ่าย หรือค่าลดหย่อนภาษีมากกว่ารายได้ สามารถยื่นขอคืนภาษีจากกรมสรรพากรได้เช่นกัน ซึ่งสามารถเข้าเช็คเงินคืนภาษีได้ที่หน้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากรโดยการเสียภาษีเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้มีรายได้ตามเกณฑ์ ในกรณีที่ถูกเรียกภาษีย้อนหลังเนื่องจากไม่ชำระภาษีตามเวลาที่กำหนด กรมสรรพากรจะมีการเรียกเบี้ยปรับเพิ่มเติมตามระยะเวลาที่ล่าช้า โดยการวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างรัดกุมจะช่วยให้ผู้เสียภาษีชำระภาษีได้ถูกลง และสามารถนำเงินส่วนต่างไปก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้ แนะนำบริการรับทำเงินเดือนจาก Manpowerบริการรับทำเงินเดือนจาก Manpower ตอบโจทย์การให้การทำเงินเดือนอย่างครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันติดต่อเราLINE OA: @manpowergroup_thCall Center: 02-171-2345E-mail: [email protected]:www.manpowerthailand.com
-
มาแล้ว ! สีเสื้อมงคล 2567 สีมงคลตามวันเกิด เสริมดวง งานรุ่ง รักปัง จาก 3 อาจารย์ชื่อดัง
12 February 2024 รวม สีเสื้อมงคลประจำวัน 2567 จาก 3 อาจารย์ชื่อดังเซฟไว้ได้ไหม..มันสำคัญกับฉันมากนาทีนี้ Personal Color ก็ต้องหลบค่ะ เปิดศักราชใหม่ มันต้องยุคของ สีเสื้อมงคล 2567 เท่านั้น!!!! ไอเทมสำคัญที่ต้องเซฟไว้ในรายการโปรด เพราะหลายคนมีความเชื่อว่า หากใส่เสื้อสีตรงกับวันนั้นๆ จะทำให้เราเกิดโชคลาภ มีเสน่ห์ เสริมเมตตา งานก็ดี แถมมีโชคอีกด้วย หลาย ๆ คนจึงมักให้ความสำคัญกับการเลือกใส่สีเสื้อตามประจำวันนั่นเองวันนี้แมนพาวเวอร์ได้นำสีเสื้อมงคลประจำวันเกิดปี 2567 จาก 3 อาจารย์ชื่อดัง มาฝากกันค่ะ บอกเลยว่าใส่แล้วช่วยเสริมความมั่นใจ งานรุ่ง รักปัง เฮงสุด ๆ !สีเสื้อมงคล 2567 จากอาจารย์ไก่ พ.พาทินีหนึ่งในอาจารย์หมอดูดวงชื่อดังของประเทศไทย โดยอาจารย์ไก่มีความเชี่ยวชาญในด้านโหราศาสตร์ไทยและพม่าเป็นพิเศษ ซึ่งในปี 2567 นี้ อาจารย์ไก่ได้แนะนำสีเสื้อมงคลประจำแต่ละวันเอาไว้ ดังนี้ สีเสื้อมงคลวันอาทิตย์โชคดี : สีเขียวต้นไม้การเงิน : สีเทาดำ, สีดำสนิทการงาน : สีชมพูอ่อนผู้ใหญ่รัก : สีบรอนซ์ทอง, สีบรอนซ์เงินเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีแดงทุกโทนสีต้องห้าม : สีน้ำเงินเข้มสีเสื้อมงคลวันจันทร์โชคดี : สีม่วงอ่อน, สีดำสนิท, สีเทาดำการเงิน : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนการงาน : สีเขียวแก่ผู้ใหญ่รัก : สีฟ้ายีนส์เสริมเสน่ห์ เมตตา : สีขาว, สีครีมสีต้องห้าม : สีแดงเลือดนกสีเสื้อมงคลวันอังคารโชคดี : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนการเงิน : สีบรอนซ์ทอง, สีบรอนซ์เงินการงาน : สีม่วงลาเวนเดอร์, สีเทาดำผู้ใหญ่รัก : สีแดงเลือดหมูเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีชมพูกลีบบัวสีต้องห้าม : สีเหลืองสีเสื้อมงคลวันพุธ โชคดี : สีบรอนซ์ทอง, สีบรอนซ์เงินการเงิน : สีฟ้าอ่อน, สีน้ำเงินกรมท่าการงาน : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนผู้ใหญ่รัก : สีขาว, สีครีมเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีเขียวทุกโทนสีต้องห้าม : สีชมพูสีเสื้อมงคลวันพฤหัสบดีโชคดี : สีแดงทุกโทนการเงิน : สีเหลืองสว่าง, สีครีมการงาน : สีฟ้าอ่อนผู้ใหญ่รัก : สีเขียวทุกโทนเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนสีต้องห้าม : สีดำสนิท, สีม่วงเข้มสีเสื้อมงคลวันศุกร์โชคดี : สีชมพูอ่อนการเงิน: สีเขียวพาสเทลการงาน : สีขาว, สีเหลืองสว่างผู้ใหญ่รัก : สีส้มสว่าง, สีน้ำตาลอ่อนเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีฟ้า, สีน้ำเงินสีต้องห้าม : สีบรอนซ์เงิน, สีน้ำตาลไหม้สีเสื้อมงคลวันเสาร์โชคดี : สีฟ้า, สีน้ำเงินเข้มการเงิน : สีแดงทุกโทนการงาน : สีบรอนซ์เงิน, สีน้ำตาลไหม้ผู้ใหญ่รัก : สีชมพูเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีม่วงพาสเทล, สีดำสนิท, สีเทาดำสีต้องห้าม : สีเขียวเข้มสีเสื้อมงคล 2567 จากอาจารย์คฑา ชินบัญชรอาจารย์คฑา ชินบัญชร คือ หมอดูชื่อดังอีกหนึ่งคนที่เชี่ยวชาญในด้านโหราศาสตร์จีน ฮวงจุ้ย และไพ่ยิปซี โดยอาจารย์คฑาได้เผยสีเสื้อมงคล 2567 ซึ่งแบ่งตามวันเกิด ดังนี้สีเสื้อมงคล คนเกิดวันอาทิตย์โชคลาภ เงินทอง : สีเขียว สีดำ และสีม่วงการงาน : สีแดง สีส้ม และสีชมพูผู้ใหญ่เมตตา ความรัก : สีเหลือง สีเขียวอ่อน และสีดำอำนาจบารมี : สีชมพูสุขภาพ : สีขาว สีทอง และสีเหลืองสีต้องห้าม : สีน้ำเงินสีเสื้อมงคล คนเกิดวันจันทร์โชคลาภ เงินทอง : สีม่วง สีเหลือง และสีส้มการงาน : สีเหลือง สีเขียวอ่อน และสีฟ้าผู้ใหญ่เมตตา ความรัก : สีม่วง สีน้ำเงิน และสีชมพูอำนาจบารมี : สีเขียวสุขภาพ : สีชมพู สีฟ้าคราม และสีโอลด์โรสสีต้องห้าม : สีแดงสีเสื้อมงคล คนเกิดวันอังคารโชคลาภ เงินทอง : สีแดง และสีส้มการงาน : สีม่วง สีน้ำเงิน และสีส้มผู้ใหญ่เมตตา ความรัก : สีส้ม สีเหลือง และสีแดงอำนาจบารมี : สีม่วงสุขภาพ : สีเขียวทุกเฉดสีต้องห้าม : สีขาวสีเสื้อมงคล คนเกิดวันพุธโชคลาภ เงินทอง : สีน้ำตาล สีครีม และสีช็อกโกแลตการงาน : สีส้ม และสีน้ำตาลผู้ใหญ่เมตตา ความรัก : สีดำ สีเทา และสีครีมอำนาจบารมี : สีส้มแสดสุขภาพ : สีน้ำเงิน สีฟ้า และสีม่วงสีต้องห้าม : สีชมพูสีเสื้อมงคล คนเกิดวันพฤหัสบดีโชคลาภ เงินทอง : สีแดง สีเหลือง และสีทองการงาน : สีฟ้า สีน้ำเงิน และสีเขียวผู้ใหญ่เมตตา ความรัก : สีแดง สีส้ม และสีขาวอำนาจบารมี : สีน้ำเงินสด และสีฟ้าสุขภาพ : สีดำ สีเทา และสีน้ำเงินสีต้องห้าม : สีม่วงสีเสื้อมงคล คนเกิดวันศุกร์โชคลาภ เงินทอง : สีชมพู สีฟ้า และสีส้มการงาน : สีขาว สีเหลือง และสีเขียวผู้ใหญ่เมตตา ความรัก : สีเหลือง สีส้มอิฐ และสีชมพูอำนาจบารมี : สีขาว และสีเหลืองสุขภาพ : สีแดงทุกเฉดสีต้องห้าม : สีดำสีเสื้อมงคล คนเกิดวันเสาร์โชคลาภ เงินทอง : สีน้ำเงิน สีฟ้า และสีแดงการงาน : สีดำ สีเทา และสีฟ้าผู้ใหญ่เมตตา ความรัก : สีชมพู สีฟ้า และสีน้ำเงินอำนาจบารมี : สีดำ และสีน้ำตาลสุขภาพ : สีส้ม สีเหลือง และสีครีมสีต้องห้าม : สีเขียวสีเสื้อมงคล 2567 จากอาจารย์ช้าง ทศพรอาจารย์ช้าง หรือหมอช้างมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านฮวงจุ้ย และโหราศาสตร์ไทย โดยอาจารย์ช้างเป็นให้คำแนะนำสีเสื้อมงคลประจำปี 2567 ตามแต่ละวันเกิด คือสีเสื้อมงคล คนเกิดวันอาทิตย์เสริมสิริมงคล : สีเขียวอำนาจบารมี : สีแดง และสีชมพูผู้ใหญ่เมตตา อุปถัมภ์ : สีม่วง และสีดำสีต้องห้าม : สีฟ้า และสีน้ำเงินสีเสื้อมงคล คนเกิดวันจันทร์เสริมสิริมงคล : สีดำอำนาจบารมี : สีเขียวผู้ใหญ่เมตตา อุปถัมภ์ : สีฟ้า และสีน้ำเงินสีต้องห้าม : สีส้มสีเสื้อมงคล คนเกิดวันอังคารเสริมสิริมงคล : สีเทาอำนาจบารมี : สีดำผู้ใหญ่เมตตา อุปถัมภ์ : สีส้มสีต้องห้าม : สีขาว และสีครีมสีเสื้อมงคล คนเกิดวันพุธเสริมสิริมงคล : สีม่วง และสีดำอำนาจบารมี : สีเหลือง และสีเทาผู้ใหญ่เมตตา อุปถัมภ์ : สีขาว และสีครีมสีต้องห้าม : สีแดง และสีชมพูสีเสื้อมงคล คนเกิดวันพฤหัสบดีเสริมสิริมงคล : สีส้มอำนาจบารมี : สีฟ้า และสีน้ำเงินผู้ใหญ่เมตตา อุปถัมภ์ : สีเขียวสีต้องห้าม : สีดำสีเสื้อมงคล คนเกิดวันศุกร์เสริมสิริมงคล : สีแดง และสีชมพูอำนาจบารมี : สีขาว และสีครีมผู้ใหญ่เมตตา อุปถัมภ์ : สีเหลือง และสีเทาสีต้องห้าม : สีม่วง และสีดำสีเสื้อมงคล คนเกิดวันเสาร์เสริมสิริมงคล : สีฟ้า และสีน้ำเงินอำนาจบารมี : สีม่วง และสีดำผู้ใหญ่เมตตา อุปถัมภ์ : สีแดง และสีชมพูสีต้องห้าม : สีเขียวเอาล่ะค่ะ นอกจากจะใส่เสื้อสีมลคลแล้ว ก็ต้องลงมือทำเพื่อช่วยให้สิ่งที่หวังไว้เป็นจริงด้วยนะคะ!ปีใหม่ หางานใหม่กับแมนพาวเวอร์คลิก > https://bit.ly/3tROE6f
-
ธุรกิจควรเริ่มกระบวนการสรรหาบุคลากรอย่างไร ? เพื่อค้นหาพนักงานคุณภาพ!
23 January 2024 กระบวนการสรรหาบุคลากร คือ กระบวนการในค้นหาตลอดจนคัดเลือกบุคลากร โดยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จึงต้องใส่ใจในกระบวนการสรรหาบุคลากร เพื่อให้ได้พนักงานคุณภาพ ซึ่งหมายถึงพนักงานที่สามารถรับผิดชอบงานตามมอบหมายได้เป็นอย่างดี รวมถึงคุณลักษณะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมเชิงบวกในการทำงานในบทความนี้ Manpower จะพามาสำรวจสาเหตุที่ต้องสรรหาบุคลากรและขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการสรรหาบุคลากร เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงพนักงานคุณภาพสาเหตุที่ต้องสรรหาบุคลากรโดยทั่วไป มี 3 สาเหตุหลัก ที่ธุรกิจจะต้องสรรหาบุคลากรใหม่ ได้แก่ 1.ตำแหน่งเดิมว่างลง การที่ตำแหน่งว่างสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ บุคลากรเดิมลาออก ถูกให้ออก เสียชีวิต เกษียณอายุ หรือมีการโยกย้ายตำแหน่งเกิดขึ้น2.เพิ่มตำแหน่งใหม่การเพิ่มตำแหน่งใหม่มักเกิดกับธุรกิจที่กำลังเติบโต และธุรกิจที่กำลังปรับตัวเพื่อตอบสนองกับความต้องการของตลาดอุตสาหกรรม ส่งผลให้ธุรกิจต้องการกำลังคนที่มากขึ้นในหลายแผนก3.ตั้งธุรกิจใหม่แน่นอนว่าการก่อตั้งธุรกิจใหม่ต้องมีการสรรหาพนักงานเข้ามา เพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หากไม่มีการก่อตั้งธุรกิจใหม่ ไม่มีการเพิ่มตำแหน่ง และตำแหน่งเดิมยังมีบุคลากรที่เหมาะสมทำงานอยู่ ธุรกิจไม่จำเป็นที่จะต้องสรรหาบุคลากรใหม่ เพราะจะทำให้ธุรกิจมีกำลังคนมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้ธุรกิจต้องเสียต้นทุนกับทรัพยากรบุคคลเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลประกอบการเท่าเดิมกระบวนการคัดสรรบุคลากร 5 ขั้นตอนสำหรับธุรกิจที่จำเป็นต้องหาบุคลากรใหม่หรือเพิ่ม มีขั้นตอนเบื้องต้นในกระบวนการคัดสรรบุคลากร 5 ข้อ ดังนี้1.วางแผนการสรรหาและคัดเลือกเมื่อธุรกิจต้องการสรรหาบุคลากร เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องเริ่มวางแผนจากการสำรวจความต้องการบุคลากร เช่น เจ้าหน้าที่ในแผนก A แจ้งลาออกล่วงหน้าเป็นจำนวน 1 คน ดังนั้นจะต้องหาบุคลากรใหม่มาแทนที่ 1 คน โดยเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องวางกำหนดการอย่างรัดกุมตั้งแต่เริ่มประกาศหาคนทำงานสอบสัมภาษณ์และกำหนดวันเริ่มงาน เพื่อให้หาบุคลากรได้ทันในระยะเวลา 1 เดือน 2.กำหนดคุณลักษณะของงาน (Job Description) และคุณสมบัติของพนักงาน (Qualification)เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องเขียนกำหนดคุณลักษณะของงาน ในประกาศรับสมัครงานให้ถูกต้องและชัดเจน โดยสามารถให้หัวหน้าแผนกนั้น ๆ ช่วยตรวจสอบความถูกต้องได้ นอกจากนี้ ยังต้องกำหนดคุณสมบัติของพนักงานให้ชัดเจนด้วย เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่ง โดยคุณลักษณะของงานและคุณสมบัติของพนักงานมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ยกตัวอย่างคุณสมบัติของพนักงานที่หลายธุรกิจทั่วโลกต้องการ อาทิEmotional Intelligence หรือความฉลาดทางอารมณ์Communication Intelligence หรือความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นProblem Solving Skill หรือความสามารถในการแก้ปัญหา3.สื่อสารเพื่อสรรหา การสื่อสารเพื่อสรรหาบุคลากรสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ประกาศหางานบริษัทจัดหาพนักงานไปจนถึงช่องทาง Social Media ต่าง ๆ อาทิ Facebook, LINE, Instagram หรือ LinkedIn เป็นต้น โดยประกาศรับสมัครงานที่เผยแพร่ออกไปควรมีความชัดเจน ใช้คำที่เข้าใจง่ายและสามารถสร้างแรงจูงใจได้เป็นอย่างดี เช่น การเขียนแสดงวิสัยทัศน์ของบริษัท ซึ่งจะช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายที่ใกล้กับบริษัทได้ 4.การคัดเลือกการคัดเลือกบุคลากรจากผู้เข้าสมัคร เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องยึดคุณสมบัติของพนักงานที่กำหนดเอาไว้ในตอนแรก ซึ่งการประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำแบบสอบถาม การสัมภาษณ์แบบถาม-ตอบ หรือแบบทดสอบทางจิตวิทยาต่าง ๆ โดยการประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครควรให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทด้วย อาทิ หัวหน้างานหรือหัวหน้าแผนก เพราะเป็นบุคลากรที่จะได้ร่วมงานกันโดยตรงในอนาคต5.การเซ็นสัญญาจ้างงานขั้นตอนสุดท้าย คือ การเซ็นสัญญาจ้างงาน โดยจะครอบคลุมตั้งแต่การเจรจารายละเอียดการจ้างงานตั้งแต่อัตราจ้าง รูปแบบการจ่ายเงินเดือนพนักงานสวัสดิการ ไปจนถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ให้ชัดเจน หากผู้สมัครพอใจในข้อเสนอของธุรกิจ ก็สามารถดำเนินการเซ็นสัญญาและเริ่มร่วมงานกันได้ทันทีหรือในวันเวลาที่ตกลงกันไว้โดยธุรกิจสามารถระบุข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะเวลาทดลองงานได้ในสัญญาจ้าง เช่น ผู้ถูกว่าจ้างจะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นพนักงานประจำเมื่อผ่านการประเมินหลังครบระยะเวลาทดลองงาน 3 เดือน เป็นต้นอย่างไรก็ตาม กระบวนการสรรหาบุคลากรนับเป็นเรื่องท้าทายของธุรกิจใหม่ที่เพิ่งก่อตั้ง โดยเฉพาะธุรกิจที่ยังไม่มีการว่าจ้างเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจจะต้องดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการสรรหาบุคลากรด้วยตนเอง ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้และความเข้าใจในตลาดแรงงาน การเขียนประกาศรับสมัครพนักงานให้น่าสนใจ สวัสดิการของลูกจ้างตามกฎหมาย ไปจนถึงการร่างสัญญาจ้างให้ครอบคลุมทั้งสิทธิของนายจ้างและลูกจ้างอย่างถูกต้อง ในขณะที่บริษัทจัดหาพนักงานสามารถช่วยเจ้าของธุรกิจประหยัดเวลาและต้นทุนในการสรรหาบุคลากรได้มากกว่าแนะนำบริการหาคนทำงานจาก Manpowerบริการจัดหาพนักงานชั้นนำระดับโลก ตอบโจทย์การให้บริการสรรหาบุคลากรอย่างครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันติดต่อเราLINE OA: @manpowergroup_thCall Center: 02-171-2345E-mail:[email protected]
-
แนะนำขั้นตอนในการเช็คเงินคืนภาษี พร้อมเทคนิคและช่องทางขอคืนภาษี
23 January 2024 อย่างที่ทราบกันว่าการเช็คเงินคืนภาษีหรือตรวจสอบคืนภาษี เพื่อขอคืนภาษีนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องทำกันในทุกๆ ปี โดยการยื่นภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ (120,000 บาทต่อปี) เพื่อเสียภาษีตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร แต่นอกจากการเสียภาษีแล้ว ผู้เสียภาษียังสามารถ ‘ขอคืนภาษี’ ได้ด้วยเช่นกัน โดยในบทความนี้ Manpower จะพาไปทำความรู้จักกับการยื่นขอภาษีและวิธีเช็คเงินคืนภาษีที่สะดวกและเข้าใจง่ายการขอคืนภาษี คืออะไร ?การยื่นขอคืนภาษี คือ การที่ผู้เสียภาษียื่นขอเงินภาษีคืนจากกรมสรรพากร โดยผู้ที่สามารถยื่นขอคืนภาษีได้จะต้องเป็นผู้ที่เสียภาษี ณ ที่จ่ายระหว่างปีมากกว่ามูลค่าภาษีที่ตนเองมีหน้าที่ต้องจ่ายจริง ซึ่งสรรพากรจะเป็นผู้พิจารณาคืนภาษีตามเงื่อนไขและคืนเงินส่วนต่างระหว่างมูลค่าภาษีที่ต้องจ่ายจริงกับภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบการยื่นภาษีและเช็คเงินคืนภาษีตามขั้นตอนด้านล่างนี้ได้เลยค่ะวิธีการเช็คเงินภาษีคืน มีอะไรบ้างวิธีเช็คเงินคืนภาษีที่ง่ายและสะดวกที่สุด คือ การตรวจสอบคืนภาษีกับเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้เข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.thกดเลือกหน้า My Tax Account ตรวจสอบข้อมูลการยื่นภาษีล็อกอินด้วยเลขประจำตัวประชาชนและรหัสผ่านยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTPกดตรวจสอบข้อมูลในช่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (90/91)ในหน้าตรวจสอบข้อมูลจะแสดงข้อมูลรายได้ทั้งหมดตลอดปี พร้อมจำนวนเงินภาษี ณ ที่จ่ายที่ชำระไป ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถนำยอดรวมของภาษี ณ ที่จ่ายมาคำนวณภาษีเพื่อเช็กมูลค่าเงินคืนจากสรรพากรได้ โดยวิธีการ คือ ยอดรวมภาษี ณ ที่จ่าย-ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = มูลค่าเงินคืนยกตัวอย่างเช่น นาย A มียอดรวมภาษี ณ ที่จ่ายที่ชำระไปตลอดทั้งปี 2566 มูลค่า 12,000 บาท แต่มูลค่าภาษีเงินได้บุคคลของนาย A อยู่ที่ 8,000 บาท ดังนั้นนาย A จะสามารถขอคืนภาษีจากกรมสรรพากรได้ 4,000 บาทโดยการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถคำนวณได้จาก เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = ภาษีเงินได้บุคคล ซึ่งเงินได้สุทธิ = เงินได้ทั้งหมด – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อนเคล็ดไม่ลับยื่นขอคืนภาษีให้ได้เงินคืนเร็วขึ้นในหน้าสุดท้ายของแบบฟอร์มยื่นภาษีรายได้บุคคลบนเว็บไซต์ของสรรพากรจะมีช่อง ‘ขอเงินคืน’ หากต้องการยื่นขอคืนภาษีก็สามารถเลือก ‘ต้องการขอคืน’ ได้เลย โดยสรรพากรจะใช้เวลาดำเนินการคืนภาษีภายใน 3 เดือน ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ได้เงินคืนเร็ว คือ การยื่นเอกสารให้ครบถ้วน ถูกต้องและชัดเจน เพราะจะทำให้ขั้นตอนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่สะดวกและรวดเร็วขึ้นโดยผู้เสียภาษีสามารถเข้าไปตรวจสอบและเช็คสถานะเงินคืนภาษีได้ในเว็บไซต์ของสรรพากร ซึ่งจะแสดงสถานะตั้งแต่ ยื่นภาษี > นำเข้าข้อมูล > พิจารณาคืนภาษี > ส่งคืนภาษี > ได้รับคืนภาษีอย่างไรก็ตาม หากกรมสรรพากรล่าช้าเกิน 3 เดือน ผู้เสียภาษีมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยต่อเดือน 1% ของมูลค่าเงินคืน โดยจะเริ่มคำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป (เดือนสุดท้ายของการยื่นภาษี)แนะนำ 4 ช่องทางยอดนิยม ในการขอคืนภาษีโดยช่องทางในการขอคืนภาษีที่ได้รับความนิยม จะมีอยู่ 4 ช่องทาง ดังนี้1.บัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัตรประชาชนการขอคืนภาษีผ่านพร้อมเพย์ กรมสรรพากรจะดำเนินการโอนเงินคืนผ่านบัญชีธนาคารที่มีการลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัตรประชาชนเอาไว้ ในกรณีที่ผู้เสียภาษีได้แจ้งความประสงค์รับเงินคืนผ่านบัญชีธนาคารดังกล่าว2.การคืนภาษีผ่านสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หากไม่ประสงค์รับเงินคืนผ่านบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัตรประชาชนเอาไว้ กรมสรรพากรจะออกหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ค.21) เป็นหลักฐานเพื่อนำไปติดต่อรับเงินคืนที่สาขาธนาคารธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร3.รับเงินคืนภาษีผ่านบัตรเงินสด e-moneyหากผู้มีสิทธิรับเงินภาษีคืนเสียชีวิตระหว่างปี ผู้จัดการมรดกสามารถมาขอรับเงินคืนได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทยในรูปแบบบัตรเงินสด e-money โดยผู้จัดการมรดกจะต้องแสดงคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้องและบัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง4.รับภาษีเงินคืนผ่านเช็คเงินสดในกรณีที่ผู้ขอคืนภาษีเป็นชาวต่างชาติ ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคล วิสาหกิจชุมชน และกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง กรมสรรพากรจะจัดส่งหนังสือ ค.21 พร้อมเช็คเงินสดให้ผ่านทางไปรษณีย์ เพื่อนำไปเข้าบัญชีเงินฝากที่สาขาธนาคารเท่านั้นโดยช่องทางการรับเงินภาษีคืนที่เร็วที่สุด คือ บัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกกับบัญชีธนาคารเอาไว้ สำหรับผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถเข้าไปยื่นภาษีประจำปี 2566 ได้แล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายนแนะนำบริการรับทำเงินเดือนจาก Manpowerบริการรับทำเงินเดือนจาก Manpower ผู้นำในธุรกิจการจ้างงานระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรของคุณให้ทันยุคสมัย โดยบริการรับทำเงินเดือนของ Manpower มี 2 แบบ คือ1.Payroll Serviceบริการรับทำเงินเดือนแบบครบวงจรที่ Manpower เป็นผู้จ่ายเงินให้กับลูกจ้างในฐานะนายจ้างแทนองค์กร2.Payroll Outsourcingบริการคำนวณเงินเดือนที่องค์กรจะเป็นผู้จ่ายเงินให้ลูกจ้างเองในฐานะนายจ้างโดยบริการรับทำเงินเดือนของ Manpower จะครอบคลุมกระบวนการต่างๆ ในการจ่ายเงินเดือนพนักงานตั้งแต่การคำนวณเงินเดือน ค่า OT คำนวณภาษี ไปจนถึงการจัดทำรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ประจำปี และแบบแสดงรายการภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด. 1 ก) ช่วยอำนวยความสะดวกให้องค์กรในฐานะนายจ้างและครอบคลุมสิทธิทางกฎหมายของลูกจ้าง
-
มาตรการใหม่จากรัฐบาล Easy E-receipt 2567 คืออะไร? ต้องซื้ออะไร ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง?
17 January 2024 มาตรการใหม่จากรัฐบาล Easy E-receipt2567 คืออะไร? ต้องซื้ออะไร ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ใครที่กำลังมองหาโครงการช้อปดีมีคืน 2567 เพื่อนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษี ในปีนี้รัฐบาลได้จัดตั้งโครงการใหม่เข้ามาแทน นั่นก็คือ “Easy E-receipt” เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีให้สูงสุดถึง 50,000 บาท! โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร โครงการ Easy E-receipt 2567 นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการบริโภคในประเทศและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีและการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีในระยะยาว คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 70,000 ล้านบาทEasy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน ต่างกันไหม? มาตรการ Easy E-Receipt มีความคล้ายคลึงกับ โครงการช้อปดีมีคืน (E-Refund) มาก ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สนับสนุนการบริโภคในประเทศและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี โดยข้อแตกต่างระหว่าง Easy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน มีอยู่ 2 ข้อหลัก ๆ เลยคือ 1. รูปแบบใบกำกับภาษีที่ใช้เป็นหลักฐาน จะต้องเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Receipt) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) เท่านั้น 2. Easy E-Receipt มีระยะเวลาการใช้จ่ายอยู่ในช่วง 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อใช้ยื่นและขอคืนภาษีต้นปี 2568 3. จากเดิม ช้อปดีมีคืน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท โดย 30,000 แรกจะต้องมีใบกำกับภาษีกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ ส่วน 10,000 ที่เหลือจะต้องเป็นใบกำกับรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่สำหรับมาตรการ Easy E-Receipt สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท Easy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน ต่างกันไหม?มาตรการ Easy E-Receipt มีความคล้ายคลึงกับ โครงการช้อปดีมีคืน (E-Refund) มาก ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล สนับสนุนการบริโภคในประเทศและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี โดยข้อแตกต่างระหว่าง Easy E-Receipt กับ ช้อปดีมีคืน มีอยู่ 2 ข้อหลัก ๆ เลยคือ1. รูปแบบใบกำกับภาษีที่ใช้เป็นหลักฐาน จะต้องเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Receipt) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) เท่านั้น2. Easy E-Receipt มีระยะเวลาการใช้จ่ายอยู่ในช่วง 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อใช้ยื่นและขอคืนภาษีต้นปี 25683. จากเดิม ช้อปดีมีคืน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท โดย 30,000 แรกจะต้องมีใบกำกับภาษีกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ ส่วน 10,000 ที่เหลือจะต้องเป็นใบกำกับรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่สำหรับมาตรการ Easy E-Receipt สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท เราสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประการที่สามารถออก E-Tax Invoice & e-Receipt ได้จากที่ไหน?ปัจจุบัน (ณ วันที่ 21ธันวาคม 2566) มีผู้ประกอบการที่สามารถออก e-Tax Invoice & e-Receipt ได้จำนวน 2,499 ราย ทุกท่านสามารถเช็คว่าร้านค้านั้นสามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice & E-Receipt) ได้หรือไม่ ผ่านเว็บไวต์ https://etax.rd.go.th/ ไป ที่เมนู “ผู้มีสิทธิจัดทำ”ช้อปลดหย่อนภาษี ต้องซื้ออะไร ถึงใช้สิทธิ EASY E-Receipt ได้?สินค้าและบริการที่เข้าร่วมสินค้าและบริการทั่วไป เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือของใช้อื่นๆในชีวิตประจำวันที่ได้ซื้อจากร้านค้า, ห้างสรรพสินค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ออกใบกำกับภาษีเต็มรูป ในรูปแบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ของกรมสรรพากรเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าที่มีสาขาทั่วไป หากเป็นร้านค้าอื่น ๆ ให้มองหาสัญลักษณ์ Easy E-Receipt ที่หน้าร้านค้า ค่าหนังสือ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, E-Book และสินค้า OTOP (เฉพาะที่ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว)ทองคำรูปพรรณ นำมาหักลดหย่อนได้เฉพาะค่ากำเหน็จเท่านั้น เพราะทองคำไม่ต้องเสียภาษีซ่อมรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เข้าศูนย์ เปลี่ยนยางรถยนต์ หรืออุปกรณ์แต่งรถค่าที่พักโรงแรม และค่าอาหารโรงแรม ที่ได้เข้าพักหรือใช้บริการตามระยะเวลาของโครงการ Easy E-Receipt สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่ได้ค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เบียร์ ไวน์ และยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตค่าบริการสำหรับบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว ซึ่งเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 หรือสิ้นสุดหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 แม้ว่าจะจ่ายค่าบริการระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ก็ตาม ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดค่ารักษาพยาบาล หรือค่าทำศัลยกรรมค่าอาหารสัตว์ทุกประเภทสรุปให้เข้าใจง่ายก็คือ มาตรการ Easy E-Receipt มีความคล้ายคลึงกับ ช้อปดีมีคืน แต่มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันบางประการ คือ รายการที่ไม่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีที่เพิ่มขึ้น, ปรับวงเงินเพิ่ม สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท และที่สำคัญ รูปแบบใบกำกับภาษีที่ใช้เป็นหลักฐาน จะต้องเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Receipt) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) เท่านั้น รู้แบบนี้แล้วอย่าลืมรีบวางแผนซื้อสินค้า และบริการให้ดี เพื่อนำไปใช้ยื่นใช้สิทธิลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาท (ยื่นต้นปี 2568) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 15 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้น นะคะ!!! แหล่งข้อมูลอ้างอิง: กรมประชาสัมพันธ์, กรมสรรพากร, iTAX
-
8 เทรนด์การทำงานที่น่าจับตามองในปี 2024
12 January 2024 โลกแห่งการทำงานเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แนวคิด หรือวิถีการทำงานแบบเดิม ๆ เช่น เข้างาน 9 โมง ออก 5 โมงเย็น หรือการทำงานแบบอุทิศชีวิตอะไรแบบนั้นกำลังจะหายไปเทคโนโลยี คือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น จำนวนประชากรสูงวัยในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการปฏิบัติงานก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ในปี 2024 เราคาดว่าจะเห็นการพัฒนาเพิ่มเติมของเทรนด์การทำงานมากมายที่เปลี่ยนชีวิตการทำงานของเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ (โดยเฉพาะ AI) จะถูกรับรู้มากขึ้นกว่าที่เคย เมื่ออัตราการนำไปใช้เพิ่มมากขึ้น คลื่นแห่งการแปลงเป็นดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน แม้แต่ผู้ที่อยู่นอกอุตสาหกรรมไอที Forbes ได้ทำการจัด 8 เทรนด์การทำงานที่น่าจับตามองในปี 2024 นี้ เราไปดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง!Generative AI ปัจจุบันมีแนวความคิดที่ได้รับความนิยมว่า AI จะไม่เข้ามาแทนที่งาน แต่คนที่สามารถใช้ AI จะเข้ามาแทนที่คนที่ไม่สามารถทำได้ เครื่องมือ Generative AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เสนอโซลูชันที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในงานหรือสายงานใดก็ได้ แต่จำไว้ว่า ส่วนสำคัญของการเป็นผู้ปฏิบัติงานเสริมด้วย AI ที่เชี่ยวชาญคือการเข้าใจข้อจำกัดของมัน และการรู้ว่าจุดไหนที่คุณยังต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความเห็นอกเห็นใจ และนวัตกรรมของมนุษย์!Sustainability working ครองโลก (Sustainable Working Practices) การทำงาน และดำเนินธุรกิจที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่เราต้องทำการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราอย่างมีสติ ตั้งแต่ที่เราทำงานไปจนถึงวิธีที่เราสร้างและดำเนินการกระบวนการแบบวงกลมที่ลดการสิ้นเปลืองและส่งเสริมการรีไซเคิลและการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) ในขณะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพื้นที่การทำงานและธุรกิจมากขึ้น การรับรองว่าเราพร้อมที่จะใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับเราทุกคน นับตั้งแต่การเข้าใจถึงความสำคัญของการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไปจนถึงการพัฒนาความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และการเอาใจใส่ เพื่อตอบโต้การขาดเทคโนโลยี และนำการ เปลี่ยนแปลงความคิดที่จำเป็นในการทำงานหรือเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อทีมของคุณกระจายไปทั่วโลก บางทีอาจไม่มีใครสามารถคาดหวังที่จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้ แต่ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับบทบาทและความรับผิดชอบของคุณคือกุญแจสำคัญประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience) องค์กรต่าง ๆ เข้าใจว่าในปัจจุบัน ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ตลอดชีวิตและสร้างธุรกิจที่เกิดซ้ำ ในทำนองเดียวกัน พวกเขาเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการรับรองว่าคนงานได้รับความพึงพอใจโดยรวม ไม่ใช่แค่เพียงได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอ สิ่งนี้ต้องใช้ความสมดุลระหว่างงาน/ชีวิต สุขภาพ ความท้าทายทางสติปัญญา และการเติบโตและการพัฒนาส่วนบุคคล ในปี 2024 หากนายจ้างของคุณไม่เริ่มต้นที่นี่ การหานายจ้างที่ทำแบบนั้นก็อาจกลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลประชากรในที่ทำงาน (Changing Workplace Demographics) ในขณะที่ GEN X กำลังทยอยกลายเป็นวัยอาวุโส และเกษียนจากการทำงาน ดังนั้นวัฒนธรรมเก่า ๆ หรือลำดับขั้นต่าง ๆ ในองค์กรจะถูกแนวคิดของคนรุ่นใหม่อย่าง GEN Y และ GEN Z เข้ามาแทนที่ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญกับความหลากหลาย มากกว่าเรื่องของอายุ เชื้อชาติ หรือแม้กระทั่งใบปริญญา ยุคแห่งการทำงานระบบดิจิทัล (Digitization and Datafication of Work) ในปี 2024 ข้อมูลส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงานของเราในทุกด้าน ตั้งแต่ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพการทำงานไปจนถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ที่มีทักษะในการทำข้อมูล Excel ต่าง ๆ มักได้เปรียบเสมอชีวิตต้องไม่หยุดเรียนรู้ (Lifelong Learning) มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ของพนักงานให้มีความพร้อม และอัพเดตข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอการทำงานแบบกระจายศูนย์ (The Decentralized Workplace) ผลพวงจากโควิดทำให้การทำงานระยะไกล (Work from home) หรือ Hybrid working มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปี 2024 หลายองค์กรก็มีแนวโน้มที่จะหันมาใช้ระบบการทำงานแบบผสมผสานนี้กันมากยิ่งขึ้น นอกจากจะประหยัดต้นทุนองค์กรแล้ว ยังสามารถรักษาสุขภาพจิต และความพึงพอใจของพนักงานที่มีต่อองค์กรได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามโลกแห่งการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา องคืกรและพนักงานจึงจำเป็นต้องตามให้ทัน ปรับตัว และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
-
ผลสำรวจ "แนวโน้มการจ้างงาน" ไตรมาสที่ 1/2567
4 January 2024 สำหรับปี 2567 ตลาดแรงงานทั่วโลกยังคงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการจ้างงานยังคงดำเนินต่อไปในระดับปานกลางหลังการแพร่ระบาดโควิด 19 ในขณะที่ภาวะการขาดแคลนคนทำงาน (Talent Shortage) ยังคงมีอยู่ผลสำรวจ "อัตราแนวโน้มการจ้างงาน" ฉบับแรกของปี 2567 (ไตรมาสที่ 1) จาก ManpowerGroup พบว่าแนวโน้มการจ้างงานสุทธิดีขึ้นใน 27 ประเทศ ลดลงใน 12 ประเทศ และยังคงไม่เปลี่ยนแปลงใน 2 ประเทศ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วประเด็นสำคัญในรายงานฉบับนี้แม้ว่าอัตราการจ้างงานทั่วโลกจะอ่อนตัวลง -4% นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 แต่ก็เพิ่มขึ้น +3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2566การจ้างงานที่แข็งแกร่งที่สุดคาดว่าจะอยู่ในอเมริกาเหนือ (34%) ตามมาด้วยเอเชียแปซิฟิก (30%) อเมริกากลางและใต้ (28%) และยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (23%)แผนการจ้างงานที่แข็งแกร่งที่สุดเรียงตามลำดับ ได้แก่ อินเดีย (37%) เนเธอร์แลนด์ (37%) และคอสตาริกา (35%) และสหรัฐอเมริกา (35%) ในขณะที่แนวโน้มที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในฮังการี (10%) , ญี่ปุ่น (10%), สาธารณรัฐเช็ก (8%) และอาร์เจนตินา (2%)ฮังการี (+20%) โปแลนด์ (+18%) และเนเธอร์แลนด์ (+17%) มีแนวโน้มการจ้างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่อาร์เจนตินา (-10%) เปรู (-10 %) อิสราเอล (-11%) และปานามา (-18%) มีการลดลงสูงสุดอุตสาหกรรมไอที มีแนวโน้มการจ้างงานทั่วโลกที่ดีที่สุด อยู่ที่ 36% ตามมาด้วย อุตสาหกรรมการเงินและอสังหาริมทรัพย์ 34% บริการการสื่อสาร 31% การดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และอุตสาหกรรมและวัสดุทั้งคู่ 28%-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------สำหรับรายงานผลสำรวจแนวโน้มการจ้างงานของ ManpowerGroup ในไตรมาสแรกปี 2567 รวมถึงข้อมูลภูมิภาคและประเทศฉบับเต็ม กรุณากรอกข้อมูลด้านล่าง แบบสำรวจครั้งต่อไปจะเปิดตัวในเดือนมีนาคม และจะรายงานความคาดหวังการจ้างงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2567Please fill in the information to download the full report
-
แนะ 6 วิธีเขียนประกาศรับสมัครงาน และเทคนิคการเขียนประกาศรับสมัครงานให้ได้ผล
28 December 2023 ในการหาบุคลากรหรือหาคนทำงานที่มีคุณสมบัติตรงตามที่องค์กรต้องการ แน่นอนว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จำเป็นต้องคัดเลือกผู้สมัครอย่างเคร่งครัด แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนดังกล่าว ต้องมีการลงประกาศรับสมัครงาน ซึ่งอาจมีหลายครั้งที่ประกาศรับสมัครไปแล้ว แต่ไม่มีคนสนใจส่งเรซูเม่เข้ามา หรือมีการยื่นสมัครงาน แต่ก็ไม่ตรงคุณสมบัติตามที่ได้ประกาศไว้ เนื่องจากการเขียนประกาศรับสมัครงานที่ไม่ชัดเจน ดังนั้น แมนพาวเวอร์ จะมาแนะนำวิธีเขียนประกาศรับสมัครงานให้มีประสิทธิภาพ ดึงดูดคนหางานผู้มีคุณสมบัติที่ใช่ ตรงกับความต้องการขององค์กรที่สุด 6 ทริคการเขียนประกาศรับสมัครงานให้มีประสิทธิภาพ 1. ชื่อ “ตำแหน่งงาน” ต้องชัดเจน สิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะขาดไปไม่ได้ในประกาศรับสมัครงาน คือ ตำแหน่งงาน ซึ่งถือเป็น Keyword สำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้สมัครงาน อย่างไรก็ตาม แต่ละองค์กรอาจมีชื่อตำแหน่งงานที่แตกต่างกันไป โดยทางที่ดี คือ ควรเขียนชื่อตำแหน่งงานให้กระชับ เข้าใจว่าต้องทำงานอะไร ซึ่งอาจเป็นชื่อภาษาไทยและกำกับด้วยชื่อภาษาอังกฤษในวงเล็บ เช่น ผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดีย (Social Media Officer) เป็นต้น ก็จะช่วยให้ผู้สมัครทำความเข้าใจง่ายขึ้น 2. รายละเอียด “หน้าที่และความรับผิดชอบ” ต้องครอบคลุม รายละเอียดอันดับต่อมาที่ HR ควรให้ความสำคัญคือ หน้าที่และความรับผิดชอบ (Job Description) โดยหลัก ๆ จะประกอบไปด้วย 3 หัวข้อ ได้แก่ วัตถุประสงค์ หน้าที่ที่ต้องทำ เป้าหมายที่คาดหวัง หน้าที่ของตำแหน่งงานอาจมากน้อยแตกต่างกันไป โดยองค์กรขนาดเล็ก ที่มีพนักงานไม่เยอะมากอาจมอบหมายหน้าที่ที่มากกว่า ซึ่ง HR ควรเขียนจำกัดความให้เข้าใจง่าย สั้น และกระชับมากที่สุด โดยแนะนำให้ควรมีรายละเอียดไม่เกิน 15-20 ข้อ หลีกเลี่ยงไม่เขียนเกินความจำเป็น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัครงาน 3. ระบุ “คุณสมบัติ ทักษะ และความสามารถ” ที่องค์กรต้องการ หากองค์กรต้องการบุคลากรที่มีคุณสมบัติเฉพาะเจาะจงสำหรับตำแหน่งงานใดงานหนึ่ง ก็ควรระบุเอาไว้ให้ชัดเจนขณะประกาศรับสมัครงานตำแหน่งนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลคุณสมบัติทั่วไป อาทิ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ระดับการวัดผลต่าง ๆ เช่น IELTS, TOEIC ไปจนถึงทักษะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้องานโดยตรงอย่าง สามารถขับขี่รถยนต์และมีใบขับขี่ หรือทักษะ Soft Skill อื่น ๆ นอกจากนี้ เมื่อเขียนประกาศรับสมัครงาน ควรเจาะจงรายละเอียด อาทิ สามารถใช้โปรแกรม AutoCAD ในการออกแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ ได้เป็นอย่างดี เท่านี้ HR และองค์กรก็จะได้พบกับผู้สมัครที่มีคุณสมบัติที่ตรงกับเนื้องานของตำแหน่งนั้นๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะการระบุทักษะอย่างละเอียดนั้นถือเป็นการคัดกรองผู้สมัครเบื้องต้น ทำให้สามารถ Short list รายชื่อผู้สมัครได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม 4. “เงินเดือน” สิ่งสำคัญที่ผู้สมัครทุกคนอยากทราบ หนึ่งในวิธีลงประกาศรับสมัครงานให้สามารถดึงดูดคนที่ใช่นั้นต้องระบุจำนวนเงินเดือนเอาไว้ด้วยเสมอ เพราะการไม่บอกเงินเดือน อาจทำให้ประกาศรับสมัครงานถูกปัดตกโดยผู้สมัครได้ง่าย ๆ ซึ่ง HR ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนเงินที่แน่นอนลงไปในใบประกาศ เนื่องจากอัตราจ้างของแต่ละแห่งไม่เท่ากัน อาจขึ้นอยู่กับงบประมาณของบริษัทในไตรมาสนั้น ๆ แต่แนะนำให้เขียนแจ้งระบุเป็นช่วงเงิน เช่น 20,000 - 40,000 บาทต่อเดือน นอกจากจะเป็นข้อพิจารณาของผู้สมัครแล้ว ตัวเลขเงินเดือนยังทำให้มีโอกาสในการแข่งขันกับบริษัทอื่น ๆ ในตลาดแรงงาน เพื่อดึงดูดผู้ที่มีทักษะเข้าสู่องค์กรเราได้มากกว่านั่นเอง 5. “สวัสดิการ” อาวุธสำคัญช่วยเอาชนะองค์กรคู่แข่ง ในการเขียนประกาศรับสมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์หางาน โซเชียลมีเดีย หรือตามแพลตฟอร์มอื่น ๆ เรื่องของสวัสดิการถือเป็นเรื่องที่มองข้ามไปไม่ได้ เนื่องจาก ตลาดแรงงานในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงขึ้นมาก ประกอบกับเทรนด์คนทำงาน Gen Z ที่มองหาสวัสดิการหรือเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสม ก่อนตัดสินใจสมัครทำงาน ซึ่งในอนาคตกลุ่มคน Gen Z จะเป็นแรงงานสำคัญอย่างแน่นอน พอทราบอย่างนี้แล้ว ก่อนที่จะเขียนประกาศรับสมัครงานครั้งต่อไป ควรคำนึงเอาไว้ว่าบริษัทเรามีสวัสดิการอะไรที่เหนือกว่าคู่แข่งบ้าง เช่น โบนัสประจำปี การปรับขึ้นเงินเดือน วันหรือเวลาที่พนักงานสามารถ Work From Home ได้ ส่วนสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิประกันสังคม วันลา-หยุดตามกฎหมายก็ต้องไม่ขาด และอาจมีการนำเสนอสวัสดิการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตขององค์กร ซึ่งนอกจากจะดึงดูดคนเก่งเข้ามาแล้ว ยังทำให้บุคลากรปัจจุบันอยากอยู่กับองค์กรต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย 6. บอก “ข้อมูลบริษัท” ให้ผู้สมัครรู้จักมากขึ้น การระบุข้อมูลบริษัทลงไปในประกาศรับสมัครงาน หรือในโปรไฟล์บนแพลตฟอร์มหางานต่าง ๆ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็กหรือบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ควรมีการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา ธุรกิจที่ทำ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นำเสนอ ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้องค์กรเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงสร้างความประทับใจให้แก่ผู้สมัครงานด้วย การเขียนประกาศรับสมัครงานนั้นมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายจุดที่ต้องใส่ใจ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อค้นหาคนทำงานที่ใช่ มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ต้องกังวลหรือทุ่มเวลาไปกับขั้นตอนการคัดเลือกให้มากเกินจำเป็น หากธุรกิจหรือองค์กรต้องการเฟ้นหาบุคลากรคุณภาพ ManpowerGroup Thailand พร้อมมอบบริการที่ตอบโจทย์และตอบสนองกับการพัฒนาธุรกิจคุณ Manpower เก่งหาคน ถนัดหางาน “We Love our Jobs” บริการจัดหาพนักงานชั้นนำระดับโลก ตอบโจทย์การให้บริการอย่างครบวงจร เพราะเราเชื่อว่า "คน" หรือ "Manpower" คือ กุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรตั้งแต่ระดับทั่วไปจนถึงระดับบริหารให้เข้ากับองค์กรชั้นนำของเรากว่า 20 ปีในประเทศไทย เพื่อยกระดับตลาดแรงงาน พัฒนาศักยภาพพนักงานและธุรกิจสู่ความสำเร็จไปพร้อมกัน ติดต่อเรา LINE OA: @manpowergroup_th Call Center: 02-171-2345 E-mail: [email protected]
-
เช็คดวงการงานปี 2567 12 ราศี จาก 3 หมอดูชื่อดัง!!!
14 December 2023 มาแล้วค่าาาา มูนี้ที่รอคอย เตรียมพร้อมรับปีมะโรง หรือปีมังกร แมนพาวเวอร์พามาเช็คดวงชะตาด้านการงานของทั้ง 12 ราศี ในปี 2567 จาก 3 หมอดัง (หมอช้าง, หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม และหมอแทมมี่ เมจิก ทาโร่ต์) การงานของใครจะปัง จะเริ่ช ได้ขึ้นบัลลังก์ หรือมีสิ่งใดที่ต้องระวัง ไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะราศีเมษ (14 เมษายน - 14 พฤษภาคม)ปี 2567 นั้น มีการเปลี่ยนแปลงในช่วง 4 เดือนแรกของปี ดวงโดดเด่นติดท็อป 3 ราศีที่ดวงดีที่สุด มีโอกาสได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นราศีที่ได้รับอิทธิพลจากดาวพฤหัสบดี โดยในทางโหราศาสตร์ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวที่ดี ในปี 2566 ได้รับอิทธิพลจากพระราหู บางคนเจ็บป่วยไม่สบาย บางคนรักไม่ลงตัว โดนเปลี่ยนงานย้ายงาน แต่พระราหูออกจากดวงชาวราศีเมษไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม ผู้หลักผู้ใหญ่จะสนับสนุน ชี้ช่องทางโอกาสที่ดีให้ หากต้องการจะเริ่มโปรเจคอะไรในบริษัท หรือเกี่ยวเนื่องกับอาชีพของคุณ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมาก ดังนั้น แม้ว่าคุณจะเหนื่อยกับงานหนักมากขึ้นเป็น 10 เท่า แต่รับรองว่าความสำเร็จที่ได้รับจะมากกว่านั้นเป็น 10 เท่า ราศีพฤษภ (15 พฤษภาคม - 14 มิถุนายน)ปี 2567 เป็นปีที่ดี แบบที่ 12 ปีมีครั้งเดียว ชีวิตเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี หลังจากเดือน เม.ย มีเกณฑ์การเปลี่ยนงานสูงมาก ใครที่สนใจเรื่องการเรียนต่อ จะได้เรียนต่อ ได้ทุนศึกษา หรือสำเร็จการศึกษาอย่างที่ตั้งใจ ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบมากขึ้นส่งผลดีต่อความก้าวหน้า มีเกณฑ์ได้รับผิดชอบงานใหม่ เป็นงานที่มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม ทำให้รู้สึกท้าทาย มีโอกาสประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้าย หรือการเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลดีกับตัวคุณในอนาคตอีกด้วย ราศีเมถุน (15 มิถุนายน - 16 กรกฎาคม)ปี 2567 ปีแห่งการเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อะไรที่ทำในปีนี้ (2566) แนะนำให้ดำเนินต่อในปี 2567 ด้วย แล้วจะมีความสำเร็จที่ดีเข้ามาค่ะ ปี 67 จะมีการเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ส่งผลเรื่องการงาน มีเกณฑ์เปลี่ยนงานสูง อยากเปลี่ยนงานให้เริ่มได้เลย หากคนที่ยังไม่ได้อยากเปลี่ยนงาน ให้ระวังช่วงเดือน มีนาคม - เมษายน จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับการทำงาน (แนะนำลองจัดโต๊ะแก้เคล็ด ถ้ามีกิจการจะค้าขายดีมีกำไร แต่จะต้องหมุนเงินเยอะมาก ควรมีคนช่วยดูแลเรื่องบัญชีอย่างละเอียดค่ะ) ราศีกรกฎ (17 กรกฎาคม - 16 สิงหาคม)เป็นปีที่จะได้รับผลสำเร็จทางการงาน สถานะทางอาชีพมักได้รับการยกระดับ มีการขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น สิ่งที่เป็นปัญหา หรือคั่งค้างในทางอาชีพจะสามารถสะสางได้ในช่วงต้นปีนี้ คนที่สมัครงานราศีสิงห์ (17 สิงหาคม - 16 กันยายน)ปี 2567 ปีแห่งการปรับเปลี่ยนมุมมอง การงาน ช่วงเดือนเมษายน จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ในด้านดี เกิดจากความตั้งใจของคุณเอง อยากเปลี่ยนมุมมองใหม่ ๆ ในเรื่องการงานให้เปลี่ยนได้เลย อย่าไปกลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะส่งผลดีเรื่องความก้าวหน้าราศีกันย์ (17 กันยายน - 16 ตุลาคม)ปี 2567 เดือนเมษายน เป็นต้นไป การงานก้าวหน้ามาก มีตำแหน่งสูงขึ้น การติดต่อค้าขาย การค้าออนไลน์ ส่งผลดี มีโอกาสใหม่ ๆ โปรเจคใหม่ ๆ ส่งผลในทิศทางที่ดี การเงิน ดวงการเงินเปิดทาง มีโอกาสได้เงินเป็นกอบเป็นกำ มีโอกาสหารายได้ใหม่ ๆ อุปสรรคปัญหาที่เคยทำให้เหนื่อยล้าจะคลี่คลายในช่วงปี 2567 ดวงการงานดี แถมมีเกณฑ์ผู้ใหญ่อุปถัมภ์อีกด้วยราศีตุลย์ (18 ตุลาคม - 16 พฤศจิกายน)เป็นราศีที่ดวงดี ต่อเนื่องมาถึงปี 2567 เดือนที่ดีที่สุดของราศีตุลย์ คือช่วงเดือน มกราคม - มีนาคม 2567 โดยเฉพาะเรื่องงาน จะได้รับโอกาสที่ดี มีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้หุ้นส่วนใหม่ ลูกค้าใหม่ มีรายได้ใหม่ ๆ หลังจากเดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป จะเป็นช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนค่อนข้างมาก ให้เตรียมตัวรับ ดวงจะเน้นไปที่งานเกี่ยวกับทางไกล หรือต่างประเทศ หากเป็นงานลักษณะนี้จะดีไปตลอดทั้งปี 2567 เลยค่ะราศีพิจิก (17 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม)อาชีพการงานจะดีขึ้นบ้าง หรือจะสามารถต่อสู้ฟันฝ่ากับปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นหลังจากที่ค่อนข้างมีปัญหาให้ฝ่าฟันในช่วงปีที่ผ่านมา ปี 2567 ราศีพิจิกจะมีเงินทองมากองอยู่ตรงหน้าเลย เรื่องงาน มีโอกาสในการงาน ผู้ใหญ่เมตตาให้ความช่วยเหลือไปในทางที่ดี เป็นปีที่ต้องวางแผนด้วยความรวดเร็ว เพราะจังหวะดวงดาวมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วผิดปกติ จังหวะมาปุ้บถ้าช้าอาจหลุดลอยไปได้ราศีธนู (16 ธันวาคม - 14 มกราคม)หากเป็นพนักงานประจำและกำลังเบื่อหน่ายงานปัจจุบัน หรือสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ปีใหม่นี้จะมีโอกาสดี ๆ เข้ามา แต่อาจจะมีเหนื่อยบ้าง มีความต้องการที่จะใฝ่หางานใหม่ ๆ หากเป็นผู้ที่ทำงานส่วนตัวก็ถือว่าเป็นช่วงที่โดดเด่นเป็นอย่างมากที่จะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ใครคิดริเริ่มจะทำธุรกิจในปีนี้ ก็นับว่าเป็นโอาสที่เหมาะสมราศีมังกร (15 มกราคม - 12 กุมภาพันธ์)ปี 2567 ราศีมังกรจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากเมษายนเป็นต้นไป โอกาสในการลงทุน ขยับขยายธุรกิจจะมีเข้ามา ดวงการงานมีการโคจรไปทางที่ดี โดยเฉพาะงานที่มีการเจรจา การขาย พบปะผู้คน เป็นราศีที่มีโอกาสในเรื่องความก้าวหน้าขยับขยาย การได้พบเจอสังคมใหม่ ๆ ในปี 2567 นี้ จุดเด่นเรื่องงานอีกอย่างคือ เป็นปีที่สามารถลงทุนอะไรที่มีความเสี่ยงมากขึ้น โอกาสที่จะมีผลกำไรผลตอบแทนมีลุ้นสูงราศีกุมภ์ (13 กุมภาพันธ์ - 14 มีนาคม)ปี 2567 การงานมีความก้าวหน้า ได้เจอกับหุ้นส่วนใหม่ ใครที่ตั้งใจเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ในช่วงหลังเมษายนจะเป็นโอกาสดีในการเริ่มต้น สามารถเตรียมตัวทำตั้งแต่ต้นปีได้เลยค่ะ หากใครทำงานประจำ และอยากจะย้ายออกจากงาน จะมีโอกาสไปที่ใหม่สมใจราศีมีน (15 มีนาคม - 13 เมษายน)ปี 2567 เป็นช่วงที่กิจกรรมทางอาชีพการงานจะดำเนินไปได้อย่างสำเร็จลุล่วง สำหรับผู้ที่กำลังใฝ่หางานใหม่ก็เป็นช่วงที่เป็นโอกาสดีอย่างมาก เกิดผลดีในเรื่องการงาน ในช่วงหลังเดือนเมษายนเป็นต้นไป สิ่งที่โดดเด่นคืองานเกี่ยวกับการเจรจา เช่น นายหน้า ตัวแทน งานขาย การติดต่อลูกค้า หรือการสมัครงานใหม่ ดวงส่งผลดี ทำให้เกิดความสำเร็จ มีความก้าวหน้าในการทำงานมาก โดยเฉพาะคนที่ทำงานเกี่ยวกับออนไลน์ จะคึกคักมากเป็นพิเศษไม่ว่าดวงของทุกท่านจะเป็นอย่างไร แมนพาวเวอร์เชื่อในศักยภาพของ "คน" เสมอ หากเรามีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ว่าสิ่งใดเราก็จะสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้ค่ะ ขอให้ปี 2567 เป็นปีที่ดีของทุกท่าน การงานราบรื่น มีแต่คนเมตตา สุขภาพร่างกายแข็งแรงนะคะใครกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในหน้าที่การงาน สมัครงานผ่านแมนพาวเวอร์ได้เลยค่ะ คลิก
-
ESG: "ธุรกิจสีเขียว" เทรนด์ธุรกิจที่น่าจับตามองในปี 2024
7 December 2023 ความต้องการทักษะและงานที่สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย 70% ของผู้ว่าจ้าง หรือองค์กรทั่วโลกรายงานว่าพวกเขากำลังรับสมัครหรือวางแผนที่จะรับสมัครงานในตำแหน่งงานกลุ่มเหล่านี้อย่างจริงจัง ตามรายงาน Global Insights ล่าสุดของ ManpowerGroup “The Greening World of Work 2023 Outlook ” งานวิจัยใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่ม “People First Green Transition” โดย ManpowerGroupประเด็นสำคัญ:ภาพรวมงานในอนาคต: 55% ของผู้นำธุรกิจที่ตอบแบบสำรวจคาดการณ์ว่าการลงทุนในธุรกิจธุรกิจสีเขียว สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จะแซงหน้าเทคโนโลยีและเมกะเทรนด์อื่น ๆ ในฐานะผู้สร้างงานหลักในอีก 5 ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้คาดว่าจะสร้างงานสีเขียวใหม่ได้มากถึง 30 ล้านตำแหน่งงานทั่วโลกภายในปี 2023การเติบโตที่พลุ่งพล่านของตำแหน่งงานสีเขียว: ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีความสนใจอย่างมากในการสรรหาบุคลากรที่มีทักษะด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตและการผลิต (36%) และการปฏิบัติการและโลจิสติกส์ (31%) นอกจากนี้ยังขยายไปถึงอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ เช่น IT (30%), งานขายและการตลาด (27%), วิศวกรรม (26%) เป็นต้นช่องว่างด้านทักษะและนวัตกรรม: แม้กระแสการตื่นตัวเรื่อง ESG จะสูงขึ้น แต่ 94% ของบริษัทต่าง ๆ รับทราบถึงการขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนจำนวนมากในการฝึกอบรมและการพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะแรงงานสำหรับเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านโดยผู้บริโภค: รายงานเน้นย้ำว่าในปีที่ผ่านมา 49% ของผู้บริโภคทั่วโลกเลือกที่จะจ่ายเงินแบบพรีเมียมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม Gen Z เป็นกลุ่มที่เป็นผู้นำในการสร้างความตระหนักรู้ต่อความยั่งยืน โดย 75% ของกลุ่ม Gen Z กล่าวว่า "ความยั่งยืน (Sustainability)" กลายเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซือสินค้ามากกว่าเรื่องแบรนด์การสนับสนุนจากรัฐบาล: บทบาทจากภาครัฐนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการยกระดับอุตสาหกรรมสีเขียว และดำเนินธุรกิจตามหลักของ ESG การมีนโยบายที่สนับสนุนอย่งเป็นรูปธรรม เช่น แผนอุตสาหกรรม Green Deal มูลค่า 225 พันล้านยูโรของสหภาพยุโรป และพระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่จัดหาพลังงานสะอาด 369 พันล้านดอลลาร์ เป็นต้นกระแสเรื่อง ESG เป็นเทรนด์ธุรกิจที่กำลังมาแรง และเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากในปี 2024 และถือว่าเป็นค่านิยมที่น่าภาคภูมิใจ หลาย ๆ องค์กรใหญ่ออกมาประกาศแสดงจุดยืนชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ และการลงทุนให้สอดคล้องกับ นโยบายความยั่งยืน (Sustainability) และ ESG (Environmental, Social, Governance) รากฐานของการสร้างการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจสีเขียว คือ "แรงงานที่มีทักษะและนวัตกรรม" ซึ่งจากรายงานของ ManpowerGroup Greening World of Work 2023 ได้เผยสิ่งที่ผู้นำธุรกิจสามารถพิสูจน์การดำเนินธุรกิจขององค์กรตนเองให้สอดคล้องกับ ESG ในอนาคตได้อย่างไรดาวน์โหลดรายงานได้ที่นี่:
-
อัพเดต! วันหยุดยาวเดือนธันวาคม 2566
1 December 2023 ยินดีต้อนรับเข้าสู่เดือนธันวาคม 2566 เดือนสุดท้ายของปีกันแล้วค่ะทุกคนนน เดือนนี้ถือว่าเป็นอีกเดือนที่มีวันหยุดเยอะ และหากใครวางแผนการลาดี ๆ จะทำให้ได้วันหยุดยาวเพิ่มอีกหลายวันเลยค่ะวันนี้แมนพาวเวอร์ขอแวะมาอัพเดตวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 กันซักหน่อยนะคะวันหยุดเดือนธันวาคม 2566 วันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2566 วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร , วันพ่อแห่งชาติ (วันหยุดยาว 4 วัน : 2-5 ธันวาคม 2566) *ลาวันที่ 4*วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2566 วันหยุดชดเชยวันรัฐธรรมนูญ (วันหยุดยาว 4 วัน : 8-11 ธันวาคม 2566) *ลาวันที่ 8*วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2566 วันคริสต์มาส (วันหยุดตามเงื่อนไขแต่ละบริษัท)วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2566 สำหรับวันหยุดในเดือนธันวาคม 2566 ครม. มีมติเห็นชอบให้เลื่อนวันหยุดปีใหม่ โดยเลื่อนจากวันที่ 2 ม.ค. 2567 มาหยุดในวันที่ 29 ธ.ค. 2566 หรือเริ่มหยุดปีใหม่ในวันที่ 29 ธ.ค. 2566 - 1 ม.ค. 2567 ทำให้มีวันหยุดยาว 4 วันเท่าเดิม เพื่อให้เป็นวันหยุดยาวและหยุดต่อเนื่องสำหรับการเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของของประเทศไปด้วยวันหยุดสิ้นปี (วันหยุดยาว 4 วัน : 29 ธันวาคม 2566 - 1 มกราคม 2567)มนุษย์เงินเดือนคนไหนยังเหลือวันลาพักร้อนอยู่ อย่าลืมถือโอกาสนี้ลาหยุดยาวไปพักผ่อน ใช้เวลากับครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูงกันนะค้าาา หลังจากที่ตรากตรำทำงานหนักกันมาตลอดทั้งปี!!!
-
มนุษย์เงินเดือนต้องรู้! คำนวนภาษียังไง อะไรลดหย่อนได้บ้าง?
29 November 2023 ช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ นอกจากจะวางแผนไปเที่ยวแล้ว ก็มีเทศกาลลดหย่อนภาษีนี่แหละค่ะ ที่ถือเป็น To do list ของเหล่ามนุษย์เงินเดือนอย่างเรา เพื่อที่จะนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงต้นปีนั่นเองสำหรับใครที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของการเสียภาษี เงินเดือนเท่านี้ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ วันนี้แมนพาวเวอร์มัดรวมข้อมูลการจ่ายภาษีฉบับง๊ายง่าย แม้แต่ First Jobber ก็เข้าใจได้ไม่ยาก รวมถึงทริคลดหย่อนภาษีสำหรับมนุษย์เงินเดือนมาให้แล้วค่ะ! ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร?อ้างอิงจากกรมสรรพากรภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มี ลักษณะพิเศษ ตามที่กฎหมายกําหนดและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กําหนด ซึ่งโดยปกติจะจัดเก็บเป็นรายปี รายได้ที่ได้รับในปีใด ๆ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเอง ตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนด ภายในเดือนมกราคม ถึงมีนาคมของปีถัดไป ใครมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาบ้าง?ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีภาษีจะมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ก็ต่อเมื่อมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าเมื่อคำนวณภาษีแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ เกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี (1) บุคคลธรรมดาและผู้ถึงแก่ความตาย มีเงินได้พึงประเมิน ดังนี้ประเภทเงินได้โสดสมรสเงินเดือนเพียงอย่างเดียว120,000220,000เงินได้ประเภทอื่น60,000120,000 (2) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล มีเงินได้พึงประเมินเกิน 60,000 บาท (3) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง มีเงินได้พึงประเมินเกิน 60,000 บาท บุคคลธรรมดาต้องยื่นแบบภาษีเมื่อไร?สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินได้ ปกติการยื่นแบบแสดงรายการ จะยื่นปีละ 1 ครั้ง (ยื่นแบบฯ ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป) วิธีการคิดคำนวณภาษี ทำอย่างไร?สำหรับการคำนวณภาษีที่เราต้องจ่ายนั้นมีหลักง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ในที่นี้เราจะพูดถึงเฉพาะการยื่นแบบ ภงด.91 สำหรับผู้มีเงินได้จากการแจ้งแรงงาน หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ผู้ที่มีรายได้ทางเดียว ซึ่งจะมีขั้นตอนการคำนวนภาษีแบบขั้นบันได ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ ขั้นตอนที่ 2เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย ตัวอย่างสมมติว่าคุณมีเงินเดือน เดือนละ 26,583.33 บาท x 12 เดือน (ต้องคิดทั้งปี) = 319,000 บาท สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 100,000 บาท* + หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท + หักเงินสะสมกองทุนประกันสังคมรวมทั้งปี 9,000 บาทค่าใช้จ่ายได้ 50% (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)จะได้สูตรคำนวนเงินได้สุทธิ ดังนี้เงินได้ 319,000 บาท – ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท – ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท – เงินกองทุนประกันสังคม 9,000 บาท = เงินได้สุทธิ 150,000 บาทจากนั้นเราก็ไปดูว่ารายได้สุทธิของเราอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ (ในตาราง) อัตราภาษีเงินได้ แบบขั้นบันไดเงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท (อัตราภาษี 0% หรือได้รับการยกเว้นภาษี) ค่าภาษี = 0เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท (อัตราภาษี 5%) ค่าภาษี = (เงินได้สุทธิ – 150,000) x 5%เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท (อัตราภาษี 10%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 300,000) x 10% ] + 7,500เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท (อัตราภาษี 15%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 500,000) x 15% ] + 27,500เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 (อัตราภาษี 20%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 750,000) x 20% ] + 65,000เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท (อัตราภาษี 25%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 1,000,000) x 25% ] + 115,000เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท (อัตราภาษี 30%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 2,000,000) x 30% ] + 365,000เงินได้สุทธิมากกว่า 5 ล้านบาท (อัตราภาษี 35%) ค่าภาษี = [ (เงินได้สุทธิ – 5,000,000) x 35% ] + 1,265,000ดังนั้น บุคคลที่มีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท (หรือมีเงินเดือน เดือนละไม่เกิน 26,583.33 บาท) ต้องยื่นภาษี แต่ไม่ต้องเสียภาษี การลดหย่อนภาษีคืออะไร และมีวิธีการอย่างไร?ค่าลดหย่อน คือสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างหนึ่งที่ช่วยทำให้เสียภาษีน้อยลงเมื่อ คำนวณภาษี หรืออาจช่วยให้ได้เงินคืนภาษีเพิ่มขึ้น หากเรามีการวางแผนภาษีล่วงหน้า ลองคำนวณว่าในปีนี้เราจะเสียภาษีประมาณเท่าไหร่ และมีอะไรที่ลดหย่อนภาษีได้บ้างซึ่งวิธีลดหย่อนภาษีสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการจับจ่ายใช้สอยต่างๆ ในชีวิตประจำวันก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วยเช่นกัน ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด! ขั้นตอนการยื่นภาษีการยื่นภาษี สามารถยื่นได้ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ดังนี้1. สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาสําหรับการยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ผู้มีเงินได้สามารถยื่นแบบฯ ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง 2. ที่ทําการไปรษณีย์สําหรับการยื่นแบบฯ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม เท่านั้น มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 2.1 ผู้มีเงินได้มีภูมิลําเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร 2.2 ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน พร้อมแนบเช็ค (ประเภท ข. ค. หรือ ง.) หรือ ธนาณัติ (ตามจํานวนเงินภาษีที่ต้องชําระทั้งจํานวน) โดยส่งไปยัง กองบริหารการคลังและรายได้กรมสรรพากร อาคารกรมสรรพากรเลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธินเขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 2.3 กรมสรรพากรจะถือเอาวันที่ลงทะเบียนไปรษณีย์เป็นวันรับแบบและชําระภาษีและจะส่งใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ยื่นแบบฯ ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน 3. เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://efiling.rd.go.th/และเลือก “ยื่นแบบออนไลน์” การวางแผนภาษีที่ดีและใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยๆ จะทำให้เราประหยัดภาษีได้อย่างมาก ไม่ว่าจะรายได้ ค่าใช้จ่ายหรือเงินออมเงินลงทุนใด ๆ และสำหรับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2567 นั้น สามารถยื่นภาษีแบบเอกสารหรือกระดาษ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2567 หรือจะยื่นภาษีออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 8 เม.ย. 2567 อ้างอิงแหล่งที่มา: กรมสรรพากร, iTAX, TTB BANK