เช็กให้ครบ! เงื่อนไข Easy E-Receipt 2.0 เพื่อลดหย่อนภาษี ปี 2568
ช่วงต้นปีแบบนี้ ใครที่กำลังมองหาโครงการเพื่อนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษี ในปีนี้รัฐบาลได้จัดตั้งโครงการใหม่เข้ามาแทน นั่นก็คือ “Easy E-receipt 2.0” เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีให้สูงสุดถึง 50,000 บาท! โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) หรือใบเสร็จในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) ผ่านระบบของกรมสรรพากรเท่านั้นค่ะ
โครงการ Easy E-Receipt 2.0 มาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมสนับสนุนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท และมีการปรับเงื่อนไขที่เหมาะสมมากขึ้น เพื่อให้การใช้จ่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
มาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” ให้สิทธิประโยชน์อะไร?
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 - วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ได้สูงสุด 50,000 บาท
มนุษย์เงินเดือนต้องรู้! คำนวนภาษียังไง อะไรลดหย่อนได้บ้าง?
ความแตกต่างของ Easy E-Receipt 2.0
จากโครงการในปีที่ผ่านมา Easy E-Receipt 2.0 ปี 2568 ยังคงวงเงินลดหย่อนไว้สูงสุด 50,000 บาท แต่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่:
30,000 บาท สำหรับสินค้าและบริการทั่วไป
20,000 บาท สำหรับสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน ร้านค้า SMEs และสินค้า OTOP
สินค้าและบริการที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ ซื้ออะไรได้บ้าง?
ลดหย่อนภาษี 30,000 บาท
ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซื้อสินค้า หรือรับบริการจากร้านค้าที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ต้องเป็นค่าซื้อสินค้า หรือบริการดังนี้ และมี E-Receipt เป็นหลักฐาน
ค่าซื้อหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (e-Book)
ลดหย่อนภาษี 20,000 บาท
ซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร
ซื้อสินค้าหรือรับบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ที่สำคัญ!!! ต้องมีหลักฐานการชำระเงินเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้น